Actions

Work Header

[Megop] Untill I died, You will safe. [WIP]

Summary:

Megatronus believes he doesn’t have a dream or any dreams. Until, he found a new mech that make him feel like a dream… in another mean, more than like ‘god’.

Notes:

Just other megop in my language, hope you enjoy it:D

Chapter 1: The gladiator.

Chapter Text

ความฝันคืออะไร

 

เมกาโทรนัสไม่สามารถตอบได้ เขาไม่เคยมีมันเลยในชีวิต

 

ในฐานะของคนงานเมืองที่วันวันเอาแต่ทำงานอยู่ในเหมืองเอนเนอร์จอนไปวัน ๆ หรือแม้แต่ตอนเป็นนักสู้เองเขาก็ไม่มีมัน ความฝันไม่ใช่สิ่งที่โปรเฟสเซอร์ของเขากำหนดเป็นค่ามาตรฐานที่พึงมีหรือจำเป็นต้องมี เพราะเขาไม่สามารถกำหนดเหตุผลของมันได้ว่าทำไมเขาถึงควรมีมัน

 

เขาหาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไม ดังนั้นเขาจึงเลิกใส่ใจมันและทำงานต่อ

 

เขาไตร่เต้าตัวเองในเวลาไม่นานจากผลงานการต่อสู้ในสนามเข้าสู่การเป็นทหารในท้ายสุดด้วยความไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เพียงเพราะฝีมือการสู้รบของเขาเป็นเลิศและน่าดึงดูดพอจนทำให้บุคคลมีชื่อเสียงในรัววังไออาคอนถึงกับยอมควักเงินซื้อตัวเขามาเพื่อเป็นทหารส่วนตัว และอีกครั้งมันไม่ใช่ความฝันหรือความตั้งใจจริงของเขาที่อยากจะเป็น แม้จะเคยมีความคิดแบบนั้นแต่ใช่ว่ามันจะสามารถเป็นจริงได้

 

โดยเฉพาะตอนนี้ ต่อหน้านายจ้างคนใหม่ มันแตกต่าง

 

“ฉันอัลตร้า แมกนัส” บอทรถบรรทุกตรงหน้าเขากล่าวแนะนำตนเอง ยศที่ติดอยู่บนกลางอกและท่าทางแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งและอำนาจของอีกฝ่ายที่เมกาโทรนัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีหน้าที่อะไรแต่คงสูงส่ง “นายคนใหม่ของนาย คงรู้ใช่ไหมว่าฉันซื้อนายมาทำไม”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้ตอบ เขาแค่พยักหน้าเพราะกฎอย่างหนึ่งของการเป็นทาสคือถ้าเจ้านายไม่ได้บอกให้ตอบโดยคำพูดห้ามปริปากเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงตอบด้วยภาษากายแทน

 

แต่เจ้านายของเขาทำสีหน้าเศร้าก่อนจะถอนใจแล้วเท้าเอว

 

“กฎงี่เง่านั้นแน่ ช่างเถอะ” อัลตรา แมกนัสบ่นเบา ๆ ก่อนส่ายหัว “ยังไงก็ตาม ฉันไม่ใช่คนที่นายจะต้องดูแลจริง ๆ ถ้านายอยากรู้”

 

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้บอทสีเงินเลิกคิ้วด้วยความสงสัยและเจ้านายของเขาดูจะใจดีพอที่จะตอบมันอย่างไม่นึกถือสากับท่าทีนั้น

 

“นายมีหน้าที่ดูแลน้องชายฉัน” น้ำเสียงของอีกฝ่านอ่อนลงและดูนุ่มนวลขึ้นเมื่อพูดถึงน้องชายของตนเอง “สาวกของพระเจ้า นักบวชของไพรมัส”

 

ออพติกสีฟ้าของเขาเบิกกว้างขึ้นก่อนจะหรี่ลงด้วยความไม่เข้าใจ เขานึกเหตุผลที่นักบวชจำเป็นต้องมีทหารคุ้มกันไม่ได้ แต่เจ้านายของเขาตอบคำตอบนั้นให้เหมือนรู้ความคิดเขาหลังจากนั้น

 

”ช่วงนี้เขา… เป็นเป้ามากเกินไป รายละเอียดอื่น ๆ ฉันจะเล่าให้ฟังระหว่างทางและนายสามารถถามด้วยคำพูดได้ระหว่างนั้น“ บอทเว้นช่วงสักพักก่อนจะพูดต่อ ”เขาแค่ เขาจำเป็นต้องมีใครสักคนจริง ๆ“

 

เมกาโทรนัสประมวลคำพูดของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ และตอบกลับด้วยเสียงเข้มและแข็ง หยาบของเขาเอง

 

”เข้าใจแล้ว“

เมกาโทรนัสสามารถสรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับงานและลักษณะของคนที่จะเขาจะต้องดูแลได้

 

หลัก ๆ คือ เขาจะทำหน้าที่คุ้มในขณะที่อีกฝ่ายกำลังภาวนา หรือออกนอกสถานที่ (ซึ่งก็คือบ้าน ไม่สิ คฤหาสน์หลังนี้ที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนักบวชถึงอยู่ในคฤหาสน์แทนโบสถ์ แต่เขาไม่ได้ถาม) หรือแม้แต่ตอนนอนก็ตาม อัลตร้า แมกนัสย้ำเขาหลายรอบมากระหว่างทางว่าอย่าทำตกบกพร่องในส่วนนี้ นอกเหนือจากนี้ถ้าอีกฝ่ายต้องการอะไรเพิ่มเติมเขาสามารถทำให้ได้แต่อีกคนจะต้องอยู่ในสายตาเสมอ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นการปกป้องที่มากเกินไปและดูอึดอัดถ้าเขาเป็นบอทที่ถูกคุ้มครอง แต่อย่างที่บอกเขาปฎิเสธไม่ได้และได้แต่ทำตามเพียงอย่างเดียว เขาจึงไม่ปฎิเสธมันจริง ๆ

 

ส่วนเมื่อเขาถามถึงบอทที่จะให้คุ้มครอง แมกนัสบอกแค่ว่า ‘เห็นเองย่อมดีกว่า‘ ทำให้เมกาโทรนัสไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกแบบนั้นและคิดว่ามันเป็นเพียงการเล่นตลก

 

จนกระทั่งเขาได้เห็นเองกับตาถึงรูปลักษณ์ของคนถูกคุ้มครองก็เป็นอันเข้าใจว่าทำไมถึงบอกให้เห็นด้วยตาตนเอง

 

การชุบสีน้ำเงินและแดงตามรูปแบบเปล่งประกาย รูปแบบภายนอกของเขาแสดงออกชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นเฟรมภาคพื้นมากแค่ไหนถ้าไม่นับปีกจักรกลสวยงามบนหลังที่เด่นยิ่งกว่าอะไรและเสาสัญญาณจากตัวรับเสียงที่หลู่ลงสีน้ำเงินเข้าคู่กับหมวกกันน็อคสีเดียวกันอย่างลงตัว แผ่นหน้าของฝ่ายอ่อนโยนมากแม้แต่ออพติกสีฟ้าสวยเองยังสามารถสะท้อนความอ่อนโยนนั้นได้มาก เซอร์โวสีดำคู่สวยประคองซากดาบในมือขึ้นมาก่อนจะกุมมัน

 

และต่อมาเสียงเหล็กแตกออกก็ดังขึ้น บอทนั้นยกเซอร์โวของตนเองขึ้น ดาบที่เคยหักก็พลันประสานกันอย่างลงตัวอย่างไม่เชื่อสายตา

 

เมกาโทรนัสอ้าปากค้าง ออพติกของเขาเบิกกว้างถึงขีดสุด

 

"ก็อย่างที่เห็น เมกาโทรนัส นั้นคือ โอไรออน แพ็กซ์ น้องชายของฉัน" อัลตร้า แมกนัสว่าโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ทำตัวให้ชิน นายสามารถพูดกับเขาแบบปกติได้เลย เพราะเขาไม่ถืออะไรเลยจริง ๆ"

Chapter 2: Weird

Chapter Text

เมกาโทรนัสถูกปล่อยทิ้งไว้กับเจ้านายของเขาหลังจากนั้น

 

และไร้ซึ่งบทสนทนาใดใด ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่สังเกตเห็นเขา

 

(และเขาเองก็ไม่ค่อยอยากให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นเขาเช่นกัน)

 

เซอร์โวสีดำเป็นเหลี่ยมของอีกฝ่ายลูบไปตามตัวดาบที่ฟื้นสภาพด้วยความเบามือ เขาไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าอะไรอยู่ในตอนนี้เพราะอีกคนหันหลังให้เขา เขาเห็นแต่เพียงปีกจักรกลขนาดใหญ่ที่ถูกหลู่ลงให้หมอบขนานลงไปกับพิ้นดินจนแนบชิด ระบบระบายอากาศของอีกฝ่ายดังคลอเบา ๆ กับจังหวะที่ลูบไปตามดาบและเสาสื่อสารของอีกฝ่ายก็ขยับไปมา

 

เมกาโทรนัสตัดสินใจเงียบต่อไปเพื่อไม่เป็นการรบกวนเจ้านายของเขามากเกินไป จนกระทั่งเสาสื่อสารของอีกคนถูกดึงไปข้างหลังพร้อมด้วยเสียงบารินโทนที่ดังก้องให้เขาได้ยิน

 

“มาใหม่เหรอ?”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้ตอบนั้นทันที เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ใช่ครับ เจ้านาย“

 

”ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ถือ“ อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่ดาบในมือจะถูกวางลง แล้วก็ตบที่นั่งข้าง ๆ ตนเองเบา ๆ ให้เขาได้เห็น ”มานั่งตรงนี้ไหม“

 

เขายอมรับว่าลังเลเล็กน้อยเมื่อเห็นแบบ เลนส์สีฟ้าของเขาหรี่และกะพริบอยู่ครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดก่อนที่จะทำตามอีกฝ่ายโดยการเดินเข้าไปและค่อย ๆ นั่งลงไปข้าง ๆ- ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า

 

ผลปรากฎว่าอีกฝ่ายรั้งเขาไว้ด้วยคำสั่ง

 

”เดี๋ยวก่อน“ เขากันไปมองเจ้านายของเขาด้วยความงุนงง และพบกับแผ่นใบหน้าของอีกฝ่ายที่อ่อนเยาว์และเลนส์สีฟ้าที่แตกต่างจ้องมองมาที่เค้า ”ไม่ใช่ข้างล่าง ข้าง ๆ ฉัน“ แล้วก็ตบที่นั่งข้าง ๆ อีกทีเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง

 

มันทำให้เมกาโทรนัสสงสัยและไม่เข้าใจ ไม่มีเจ้านายที่ไหนอยากให้ลูกน้องนั่งเสมอตัวเอง ทว่ายกเว้นบอทตรงหน้าของเขาที่เป็นเจ้านายใหม่ที่ดูจะแตกต่างออกไป

 

บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่กำลังหลอกเขาด้วยความใจดีก่อนที่จะนำไปสู่ความชั่วร้ายก็ได้ เขาเคยมีเจ้านายประเภทนั้นเมื่อตอนเป็นทหารระดับต่ำและนักสู้ในหลุมต่อสู้ใต้ดิน

 

แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง เขาจึงทำตามที่อีกฝ่ายว่าแล้วนั่งลงข้าง ๆ อย่างเชื่องช้า

 

ทันทีที่เขานั่งลงเสร็จ อีกคนก็หันมามองเขาแล้วยิ้มให้พร้อมด้วยเซอร์โวในมือที่โบกไปมา

 

“ฉันโอไรออน, โอไรออน แพ็กซ์” อีกฝ่ายแนะนำตัวเองอย่างร่าเริง เสาสื่อสารของอีกคนตั้งตรง “ฉันเชื่อว่านายคือผู้คุ้มกันคนใหม่ของฉัน?”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้ เขาแค่พยักหน้า

 

โอไรออนดูไม่อะไรก็ท่าทางของเขาแล้วยิ้มกว้างให้ ”แล้วนายชื่ออะไรล่ะ“

 

เขาตั้งค่าเสียงของตัวเองใหม่แล้วตอบ

 

”เมกาโทรนัสครับท่าน“

 

”บอกไปแล้วนี้ว่าไม่ต้องทางการขนาดนั้น“ โอไรออนบ่นเขาด้วยเสียงเล็กพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะคลายออก ”เป็นตัวเองเถอะ ฉันไม่ได้…ชอบความทางการขนาดนั้น“

 

เมกาโทรนัสนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าและเปิดปาก

 

”อ่า เข้าใจแล้ว“

 

มันทำให้โอไรออนยิ้มออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น ”ยอดเยี่ยมมาก!“ อีกฝ่ายว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก! นายเป็นคนแรกในรอบหลายปีเลยที่ฉันได้คุยด้วยนอกเหนือจากพี่ชายของฉัน ฉันหวังว่าจะเข้ากันได้ดี” ไม่ว่าเปล่าเซอร์โวสีดำของอีกคนก็หยิบยื่นมาให้เขาพร้อมด้วยสายตาส่องประกาย

 

เมกาโทรมองมือของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด เขาค้นในความทรงจำและพบว่าชาวไออาคอนมีวัฒนธรรมการทำความรูปจักในรูปแบบการจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตร และอีกคนก็กำลังทำตามวัฒนธรรมนั้นของตนเองแบบนั้นกับเขาอย่างเป็นกันเองอย่างน่าสงสัย แต่ไม่ใช่ว่าเมกาโทรนัสพวกประเภทที่วิตกง่ายแต่จากประสบการณ์การเป็นลูกน้องมาอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เจ้านายไม่เคยมีใครจริงใจสักคนกับเขาสักครั้ง อึดทั้งอีกฝ่ายเองก็ดู…สะดุดตาและแปลกเกินไปที่จะไว้ใจ

 

แต่อย่างไรก็ตาม ลูกน้องก็คือลูกน้อง เขาแค่ทำตามคำสั่งก็พอแม้ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะแย่ ดังนั้นเขาจึงจับมือของอีกฝ่ายและเขย่าเบา ๆ

 

“อ่า หวังว่านะ”

 

และจบลงด้วยรอยยิ้มกว้างจากอีกฝ่ายเป็นของตอบแทนเท่านั้น มันทำให้เมกาโทรนัสมึนงงถึงขีดสุด

 

นอกจากไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นแล้ว อีกคนก็ดูจะทำตัวเท่าเทียมกับเขาจริง ๆ

 

อะไรกันเนี้ย?

 

“แต่ถ้าให้พูดตามตรง ดิออนไม่น่าหาใครมาให้ฉัน” จู่ ๆ โอไรออนก็พูดขึ้นพร้อมกับคลายมือออกและลูบดาบตรงหน้าของตัวเองต่อไป “หมายถึง ฉันอยู่แต่ในนี้ บ้านของเราและไม่ค่อยได้ออกไปไหนนอกจากศาสนจักรต้องการตัว ฉันคิดว่าตัวเองปลอดภัยในระดับหนึ่ง“

 

เขากะพริบเลนส์ถี่ใส่อีกฝ่าย ดิออน? ชื่อเดิมของอัลตรา แมกนัสใช่ไหม ก่อนจะตอบ ”แต่เขาบอกฉันว่านายเป็นเป้าหมายที่โดดเด่นและใครใครก็อยากได้นาย“ เขาเคาะแขนตัวเอง “ซึ่งถ้าใก้ฉันพูดตามตรง นายค่อนข้างเด่นมากจริง ๆ”

 

ตอนนั้นเองเสาสื่อสารของอีกฝ่ายก็หลู่ลงไปด้านหลังก่อนที่จะยิ้มบางออกมา

 

“อืม มันเป็นเพราะรูปลักษณ์ของฉัน ฉันเข้าใจดี”

 

รวมพลังแปลก ๆ ตอนแรกที่เขาเห็นไปด้วยก็ยิ่งเด่น เมกาโทรนัสพูดในใจ

 

“แต่ช่วยไม่ได้ ฉันเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์นี้ ฉันแก้ไขไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายว่าความจริงก่อนที่ปีกของเขาจะถูกยกขึ้นและสะบัดออกเบา ๆ เพื่อไล่เศษฝุ่นดินจากพื้น “แล้วก็บางอย่างที่พิเศษยิ่งกว่า”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้พูดอะไร เขานิ่งเงียบ

 

“บางทีฉันก็อยากจะเป็นแค่หุ่นธรรมดาเหมือนหุ่นตัวอื่น” อีกฝ่ายว่าต่อเรื่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงเบา เลนส์สีน้ำเงินของอีกฝ่ายขยายออกและปิดลงครึ่งหนึ่งพลางมองไปยังดาบตรงหน้าที่ใหม่เอี่ยม “อยู่ตามหอจดหมายเหตุ ค้นขว้าข้อมูล-”

 

“…คิดดีแล้วเหรอถึงเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนที่พึ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงฟัง”

 

จู่ ๆ ระหว่างพวกเขาก็นิ่งเงียบ เมกาโทรนัสเองก็ชะงักเมื่อรู้ว่าตนเองเผลอพูดอะไรออกไปด้วยความลืมตัว เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะต่อว่าอีกฝ่ายในเรื่องของการไว้ใจคนแปลกหน้าแต่ด้วยนิสัยของเขา เขาเผลอ และเขากำลังรอการลงโทษจากเจ้านายของเขาว่าจะทำอะไรต่อไป

 

แต่มันมาไม่ถึงและไม่เคยปรากฎ เขาได้ยินแค่เสียงระบายอากาศของระบบอีกฝ่ายดังและปีกของอีกคนก็ถูกพับแนบกับแผ่นหลัง

 

“ขอโทษที ลำบากใจใช่ไหมที่ต้องมาฟังเรื่องจากคนแปลกหน้า”

 

เขาอยากบอกใจจะขาดว่าไม่ เขาแค่เผลอตัว แต่อีกฝ่ายกลับชิงพูดต่อ

 

“ฉันไม่ได้เจอใครมานานมากแล้ว หมายถึง มีปฎิสัมพันธ์น่ะ ฉันเลย ไม่ค่อยรู้ว่าจะต้องทำยังไงในการคุยกับผู้คน”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็กะพริบเลนส์ของตัวเอง พลางมองไปยังคนข้างกายที่เริ่มนิ่งเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่ และเขาพบว่าอีกคนกำลังเก็บตัวและมีสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีทั้ง ๆ ที่กำลังยิ้มอยู่

 

เพียงแค่กวาดสายตามองก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เหม่ะกับรูปลักษณ์แบบนี้ขนาดไหน แต่แล้วเขาควรจะทำอะไรล่ะ?

 

เขาเป็นแค่ลูกน้อง คนคุ้มกัน จะทำอะไรเพื่อเจ้านายในแบบอื่นได้?

 

…หรือ บางทีท่าทีที่เหมือนการหยิบยื่นมิตรภาพจากอีกฝ่าย เขาควรจะรับไว้และทำให้อีกคนเป็นเพื่อนของเขาจริง ๆ และสอนว่าการอยู่กับคนอื่นเป็นอย่างไรและพูดคุยอย่างไร

 

อย่างน้อยก็อาจจะแค่การพูดคุย

 

ดังนั้นเขาเลยถอนหายใจก่อนที่จะเกาหมวกกันน็อคของตนเอง

 

“…ไม่ใช่ลำบากใจ แต่เริ่มต้นเราควรทำรู้จักกันเบื้องต้นก่อน”

 

ทันใดนั้นปีกของอีกฝ่ายกางออกเล็กน้อยพร้อมกับเสาสื่อสารที่ตั้งขึ้น

 

“มาเริ่มต้นกันใหม่กันเถอะ“

 

เป็นทั้งคนคุ้มกัน เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนสอนเข้าสังคมก็ได้

 

”อืม!“

Chapter 3: Family & Harmony

Chapter Text

การเริ่มต้นทำความรู้จักของพวกเขาเป็นไปด้วยดี

 

โอไรออนช่างพูดถึงมากที่สุด เขาสามารถเล่าเกี่ยวกับตัวเองได้อย่างลื่นไหลว่ามาจากไหนหรือมีพี่น้องกี่คน (แน่นอนว่ามี 2 จากที่เขารู้ และเรื่องรู้ใหม่คืออีกคนเป็นไออาคอนแท้ น่าแปลกใจจริง) พร้อมกับบอกว่าผู้สร้างของเขาทั้งคู่หายตัวไปจากการออกสงครามเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ยังเด็ก ทิ้งเขาที่เป็นประกายไฟเล็ก ๆ ไว้ก้บพี่ชายอย่างดิออนที่ยังเป็นแค่ประกายแรกรุ่นไว้ข้างหลังและไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย แต่โอไรออนเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมาเพราะรู้สึกได้และตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นอย่างคาดหวัง มันเลยทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย

 

ไม่มีบอทที่ไหนที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังตั้งแต่เด็กแล้วบอกว่าคาดหวังและยินดีรอคนที่ทิ้งตนเองไว้ มันน่าประหลาด หากเป็นบอทไหนก็ตามที่โดนทำแบบนั้นคงอารมณ์เสียไม่น้อย

 

(และเมกาโทรนัสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่คิดคาดหวัง เขากำพร้าและถูกทิ้งให้ทำงานในฐานะคนงานเหมืองเพียงลำพังโดยมีแค่เมคในเหมืองที่เลี้ยงดูเขา เขาเลยไม่คิดถึงเลยสักนิด)

 

แล้วอะไรที่ทำให้บอทพิเศษตัวนี้บอกว่าคาดหวังและตื่นเต้นที่จะรอพบ เขาสงสัยเลยเปิดปากถามออกไปอย่างลืมสถานะที่ต่างกัน(แต่ลืมนานมากแล้วตั้งแต่ที่อีกฝ่ายให้ทำตัว…ไม่ต้องทางการขนาดนั้น เพราะงั้นช่างมันเถอะ)

 

“อะไรที่ทำให้นายตั้งความหวังและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบพวกเขาอีก”

 

โอไรออนหันมามองเขา เลนส์สีฟ้าของอีกฝ่ายวิบวับอยู่พักหนึ่งแล้วตสมมาด้วยเสาสัญญาณบนตัวรับเสียงที่ขยับขึ้นลงไปมาช้า ๆ “ก็แบบว่า… พวกเขาจะต้องกลับมา ฉันแน่ใจ”

 

“สปาร์คในอกบอกเหรอ”

 

“ไม่เชิงหรอก” โอไรออนแย้ง “มันแค่ รู้สึกว่าพวกเขาจะกลับมา สักวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาจะกลับมาและโอบกอดเราอย่างที่ควรเป็น ฉันเขื่อแบบนั้นและเชื่อมาตลอด”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้พูดอะไรออกไปพักหนึ่ง เขาจ้องมองไปยังอีกฝ่ายแล้วค่อย ๆ เคลื่อนเลนส์สีฟ้าสว่างของตนเองไปตามกรอบร่างของอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะหยุดทำมันและกลับไปจดจ่ออยู่กับแผ่นหน้าของอีกฝ่ายที่เงยมองท้องฟ้าสีใสด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรด้วยความสงสัยอยู่เต็มระบบประมวลผล ความสบายใจที่แสดงออกมาอย่างขัดเจนไม่เคยทำให้เมกาโทรนัสเข้าใจเลยสักครั้งกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่แทบเป็นไปไม่ได้

 

พิลึกจริง แถมยัง… แต่จะว่าพิลึกขนาดนั้นก็ไม่ได้ อีกฝ่ายก็แตกต่างกว่าบอททั่วไปจริง ๆ ถ้าจะรู้สึกแบบนั้นก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง

 

เขาคิดในหัวแบบนั้น ไม่รู้ว่าคิดนานเกินไปหรือไม่แต่อาจจะนานพอให้โอไรออนเรียกหาเขาแล้วดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงด้วยปีกจักรกลที่กระทุ้งเข้าที่หลังของเขาเบา ๆ จนเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้

 

มันเลยทำให้เขาหันไปมองอีกฝ่าย โอไรออนมองเขาและเอามือวางประสานเหนือเข่าและนั่งเรียบร้อยเหมือนชนชั้นสูง (ขีดฆ่า เขาเป็นอยู่แล้ว) ปีกจักรกลที่เคยสะกิดเขาถูกพับเก็บไป และปากอีกฝ่ายเปิดออกพร้อมด้วยเสาสัญญาณที่ข้างหัวค่อย ๆ ตั้งตรง

 

“แล้ว ครอบครัวของนายเป็นยังไง”

 

เมกาโทรนัสกะพริบเลนส์แล้วนิ่ง

 

“ครอบครัวฉัน?”

 

“ใช่ ครอบครัวนาย” โอไรออนย้ำเสียงนุ่มพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ฉันเล่าเรื่องของตัวเองไปแล้ว คราวนี้ตานายบ้าง”

 

“ครอบครัวของนายเป็นแบบไหนเหรอ? แคริเออร์? เซอร์? มีพี่น้องไหม”

 

เมกาโทรนัสยังคงนิ่งค้าง ระบบของเขาประมวลผลตามคำถามของอีกฝ่าย ภาพในอดีตมากมายตั้งแต่ออนไลน์เด้งขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ และมันทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยน่าอภิรมย์ที่นึกถึงมัน แต่เพราะเจ้านายคนใหม่ต้องการเขาเลยต้องจำใจบอกแต่ปรับเสียงให้ทุ่มลงไปเกรี้ยวกราดใส่

 

“ครอบครัวของฉัน… ไม่มี ฉันเป็นเด็กกำพร้า”

 

เขาเห็นเสาสัญญาและปีกของอีกฝ่ายค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปด้านหลังและใบหน้าที่เศร้าส่งมามห้แก่เขา

 

“โอ้”

 

เมกาโทรนัสร้องในลำคอ “น่าเศร้าใช่ไหม? ตั้งแต่ออนไลน์มาสิ่งเดียวที่ฉันจำได้คืออยู่ในเหมืองกับบอทมีอายุคนอื่น ๆ แล้วเริ่มงานทันที” เขาอธิบายต่อเหมือนคุยเรื่องทั่วไป(พยายามจะให้เหมือน) และพยายามไม่ให้หัวคิ้วของเขาหมุนชนกันมาก “ฉันรู้สึกเหมือน… ร่างกายถูกฉีก เหมือนถูกบังคับให้ใหญ่โตมากพอที่จะทำงานได้และเหมือนถูกล้างความจำเพราะไม่มีความจำก่อนหน้าที่ฉันจะไปที่เหมืองเลยว่าเป็นใคร หรือทำอะไรมากก่อน หรือเคยมีแคริเออร์และเซอร์ไหม ฉันไม่มีมันเลยในระบบของฉัน” เขาจับข้างหัวของตัวเองเบา ๆ แล้วถูไปมา เหมือนจะหงุดหงิดแต่เก็บอาการ เลนส์สีฟ้าขยับไปมองยังท้องฟ้าข้างบนอย่างเหม่อลอยแล้วเล่าต่อ ”ฉันเคยพยายามคิดว่าฉันมีพวกเขาและรอวันที่พวกเขาจะกลับมารับฉันออกมาจากเหมืองนรกนั้น แต่มันไม่เคยมี“

 

”ฉันรอ รอจนไม่รออีกต่อไป พวกเขาหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและฉันก็ต้องรับชะตากรรมที่เหมืองนั้นตามลำพัง- กับครอบครัวใหม่ของฉันคนงานเหมืองที่ดูแลชั้นมาตั้งแต่แรก“

 

เขารู้สึกได้ว่าโอไรออนขยับเข้ามาใกล้เขาเพราะเสียงของการเคลื่อนไหวที่ส่งไปทั่ว เขารู้สึกได้ว่าปีกของเขาเองก็โอบเขาเบา ๆ คล้ายปลอบ มันทำมห้เขาละสายตาจากท้องฟ้าที่สนใจอยู่เป็นลงไปสนใจต่อ ด้วยความสูงที่ต่างกันแม้จะนั่งในระดับเดียวกันก็ตาม เขาต้องก้มลงเล็กน้อยและเห็นเพียงเสาสัญญาณสื่อสารขอวอีกฝ่ายที่หลู่ลงจนสุด แผ่นหน้าของอีกคนก้มมองพื้นแต่เขาพอเดาได้ว่าอีกคนรู้สึกยังไงด้วยปีกกว้างที่โอบแผ่นหลังของเขาไว้และขยับเบา ๆ นั้นทำให้เขาเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

 

น่าแปลก ถ้าเป็นเจ้านายคนก่อน ๆ ของเขาทำในลักษณะที่ใกล้เคียงแบบนี้ (เพราะไม่มีบอทที่ไหรมีปีกจักรกลบนแผ่นหลังและพลังแปลก ๆ )เขาจะดีดตัวหนี้เพราะมันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่ส่อไปทางความบันเทิงอีกแบบ แต่พอเป็นเจ้านายคนใหม่ล่าสุดของเขาคนนี้กลับทำให้รู้สึกว่าการกระทำนี้มันอบอุ่นแค่ไหน

 

ใส่ใจและเห็นใจในเวลาเดียวกัน ….เป็นบอทที่แปลกจริง ๆ

 

“ฉัน- อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมดว่ามันเป็นยังไงกับการตัดใจที่จะคาดหวังบางอย่างในชีวิตที่คิดว่ามันสำคัญ” โอไรออนว่าเสียงเบา เซอร์โวของอีกฝ่ายกำเข้าหากันเบา ๆ แล้วคลายออก “แต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจในเหตุผลของนายที่จะตัดใจ เมกาโทรนัส ความหวังที่ตั้งไว้แต่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงแม้ว่าจะหวังมากแค่ไหนก็ตาม มันคงเจ็บปวด”

 

เมกาโทรนัสปิดเลนส์ของเขาแล้วเปิดมันขึ้น

 

“อ่า ก็คงแบบนั้น“

 

”….แล้ว ดูเหมือนตอนนี้นายจะดูอารมณ์ไม่ดี“ โอไรออนเว้นช่วง ปีกของอีกฝ่ายไม่ได้เคลื่อนออกไปจากหลังของเขา มันประจำอยู่ที่เดิม มีแต่เพียงน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป ”ฉันสามารถทำให้นายอารมณ์ดีได้“

 

เมกาโทรนัสทำหน้างง ”ยังไง? แล้วเดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้อารมณ์ไม่ดี-“

 

”ในนามแห่งไพรมัส ดูก็รู้ว่านายอารมณ์ไม่ดี“ โอไรออนพูดขัด ”และฉันไม่ใช่เจ้านายที่แย่ ดังนั้นฉันจะไม่ปล่อยให้นายอารมณ์เสีย“

 

เมกาโทรนัสอ้าปากค้างในขณะที่อีกคนค่อย ๆ เก็บปีกของตนเองลงไปแล้วหันมายิ้มให้

 

”ฉันคิดว่าบทเพลงจากคัมภีร์สรรเสริญไพรมัสอาจจะช่วยนายได้“

 

”…ขอโทษที่ ด้วยความเคารพ ฉันไม่เชื่อในศาสนา“

 

”แต่ฟังไว้เพื่อความบันเทิงก็ได้นี่น่า“ โอไรออรบ่นพร้อมหยู่หน้า ”คิดสะว่าเป็นบทเพลงทั่วไปที่หาฟังได้ยาก… มันเป็นเพลงที่ฉันจะขับร้องในวันขอบคุณท่านเท่านั้น นายเป็นคนแรกที่จะได้ฟังที่นี้ ในที่กว้างที่ไม่ใช่ในโบสกว้างที่อาจทำให้เสียงก้องที่อาจทำให้ระบบสื่อสารเกิดขัดข้องได้“

 

เมกาโทรนัสเห็นด้วยอยู่หน่อย ๆ เรื่องบทภาวนาที่ดังมากเกินไปในโบสถ์ (เคยผ่านครั้งหนึ่งตอนเจ้านายคนก่อน ๆ มันดังมากและมันทำระบบสื่อสารเขาเจ็บปวดจริง ๆ ) แต่อย่างที่บอก เขาไม่ใช่บอทที่มีอารมณ์ทางศิลป์ขนาดนั้นนอกจากงานเขียนที่ค่อนข้างถนัด (เขาไม่ได้บอกโอไรออนไปเพราะมันน่าจะดูแปลกสำหรับบอทกรอบสงครามตัวใหญ่ เขาเลยเลือกจะไม่พูด) ส่วนเรื่องบทเพลงจากพระเจ้าของพวกเขานี้ขอผ่าน เพราะเขาไม่เชื่อในไพรมัสหรืออะไรทั้งนั้น

 

…แต่ ถ้าเจ้านายของเขา (ขีดฆ่า) โอไรออนต้องการมัน เขาจะไม่ขัดก็ได้

 

”เอาเถอะ ตามใจ“

 

เขาเห็นโอไรออนยิ้มก่อนที่ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ที่ระบบเขาที่รวนจนคิดไปเอง แต่เขารู้สึกได้ว่าเพียงแค่อีกฝ่ายเริ่มต้นร้องมันออกมาทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปหมด

 

เสียงทุ่มนุ่มดังเบา ๆ พอให้พวกเขาหด้ยินแต่กลับรู้สึกว่าบทเพลงนี้ดังมาก มันดังในแบบที่ไม่มากเกินไปและนุ่มมากเกินกว่าที่มันจะดังได้อย่างไม่เชื่อมโยงกัน และเสียงของอีกฝ่ทยก็ดูจะสอดคล้องกับปีกจักรกลบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่สยายออกกว้างและเปล่งประกายจาง ๆ ไม่มากทำให้ทั่วบริเสณโดยรอบตัวพวกเขาสว่างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่กรอบของเขาที่เต็มไปด้วยรอยขีดขวนจากการทำงานมานานก็เปล้งประกายแปลก ๆ เขามองไปที่ตัวเองอย่างสงสัยก่อนที่เลนส์สีฟ้าของเขาจะเบิกกว้างขึ้น

 

บทเพลงถูกขับร้องออกมาเรื่อย ๆ พร้อมด้วยปีกของอีกฝ่ายที่ส่งประกายจาง ๆ และละอองสีฟ้าจางมากมายก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากซอกของขนจักรกลที่จัดเรียงเป็นระเบียบ พวกมันไหลออกและปกคลุมพื้นที่โดยรอบไม่ไกลมากนักรวมถึงตัวเขาเองที่พวกมันกำลังไตร่ขึ้นมาจากด้านล่างขึ้นบนหมวกกันน็อคของเขาเหมือนแมลงไซเบอร์ แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย กลับกันกับรู้สึกได้ว่ามันอบอุ่นมากแค่ไหน และที่สำคัญคือรอยขีดขวนบนกรอบของเขาทั้วร่างที่สะสมมานานค่อย ๆ สมานลงจนหายไป ทำให้กรอบของเขาที่ครั้งหนึ่งมันเคยดูเก่าและผ่านการใช้งานมาเปลี่ยนเป็นกรอบที่เรียบและเงาวับเหมือนใหม่

 

เหมือนไม่ใช่บอทที่มีประสบการณ์การทำงานมานาน เหมือนบอทวิการที่อยู่แต่ในคลังหนังสือซึ่งมันแปลก มาก

 

และเพลงของอีกคนก็ทำให้ระบบของเขารู้สึกผ่อนคลายและดีขึ้นอย่างน่าแปลก

 

และในใจของเขาลึก ๆ เขาก็รู้สึกชอบเพลงที่อีกฝ่ายร้องด้วย ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่มันรักษาเขาแต่เพราะคนขับร้อง ร้องมันได้ไพเราะขนาดไหน

 

เขาไม่รู้เลยว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้วจนกระทั่งการเรียกจากด้านหลังที่ทำให้เข่ดึงสติกลับมาสู่ปัจจุบันและโอไรออนหยุดร้องเพลงกระทันหัน

 

มันทำให้เขาหงุดหงิดที่อีกคนหยุดร้อง เขากำลังจะหันไปมองว่าใครที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะอย่างลืมตัวว่าบ้านหลังนี้มีบอทอาศัยอยู่เพียง 2

 

และถ้าถูกขัดจังหวะก็แสดงว่ามีแค่คนเดียวที่เป็นไปได้

 

”…ฉันจะไม่ตัดสินใจในการกระทำที่อุกอาจของนาย โอไรออน“ อัลตร้า แมกนัสพูดอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “แต่เขาเป็นคนคุ้มกัน ถ้าให้ฉันบอกตามตรง”

 

อัลตร้า แมกนัส เจ้านายที่ซื้อเขามาที่ทิ้งเขาไว้กับโอไรออนอยู่พักใหญ่กำลังยืนอยู่ด้านหลังด้วยรังสีที่ไม่ดีมาก

 

จังหวะนั้นมันเลยทำให้เมกาโทรนัสดีดตัวขึ้นและยืนตัวตรง ในขณะที่โอไรออนเก็บปีกของเขาแล้วทำหน้าเหมือนหงุดหงิดใส่คนพูด

 

“ไม่ใช่คนคุ้มกัน เพื่อนต่างหาก”

 

อัลตร้า แมกนัสถอนหายใจใส่ เลนส์สีฟ้าของอีกฝ่ายกะพริบไปมา “โอไรออน เราคุยเรื่องนี้กันรอบที่เท่าไรแล้ว นายจะไว้ใจบอทที่พึ่งเข้ามาเป็นเพื่อนเลยไม่ได้ มันต้องใช้เวลา”

 

“ถ้าอย่างนั้นนายจะหาใครสักคนมาใส่ในชีวิตฉันทำไม”

 

เมกาโทรนัสยืนนิ่งเป็นก้อนหินมองการโต้เถียงของสองพี่น้องและเขาเห็นว่าแมกนัส นายอีกคนของเขาชะงักไปครู่หนึ่งอย่างน่าประหลาด

 

“ฉันหามาเพื่อให้นายปลอดภัยและสร้างความสัมพันธ์แบบนาย-ทาส… หมายถึงเจ้านายและลูกน้องที่ดี ส่วนเพื่อนฉันสัญญาแล้วนี้ว่าจะหามาให้หลังพิธีฉลองของการกำเนิดของออลสปาร์ค“

 

”เพื่อนน่ะ ต้องเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครเลือกให้”

 

“โอไรออน…”

 

“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นใส่ฉันนะ” โอไรออนว่าพลางฮึดฮัด

 

อัลตร้าแมกนัสส่ายหัวแล้วถอนหายใจ เขาย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่แล้วพูด ”นายก็รู้สถานการณ์ตัวเองดีนี้ โอไรออน“

 

”ตอนนี้พวกมันกำลังเคลื่อนไหวและนายเป็นเป้าหมายของพวกมัน มันไม่ใช่จังหวะที่ดีในการหาเพื่อนและออกไปเที่ยวเล่นเหมือนที่นายฝัน“

 

”นายก็รู้ ฉันแค่ไม่อยากเสียน้องชายเพียงคนเดียวของฉันไป ดังนั้นได้โปรด เข้าใจด้วย“

 

”….“

 

เมกาโทรนัสมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน บทสนทนาระหส่างทั้งคู่ดูตึงเครียดและโอไรออนก็ดูไม่ดีเอามาก ๆ ด้วยปีกจักรกลขนาดใหญ่บนหลังที่ค่อย ๆ แบนราบไปกับพื้นทำให้เขาเดาออกไปว่าอีกคนรู้สึกไม่ดีแค่ไหน ไหนจะเสาสัญญาณที่หลู่จนสุดนั้นอีก มันทำให้อกของเขาเจ็บปวดอยู่ช่วงหนึ่งแต่เขาเลือกที่จะปล่อยมันไปและเฝ้ามองแทน

 

มันน่าหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดู แต่เพราะแมกนัสพูดว่าเจ้านาย-ลูกน้อง ก็ทำให้เขาไม่กล้าขยับ

 

เห็นได้ชัดว่าระบบของเจาประมวลผลว่าแมกนัสเป็นบอทประเภทที่เขาเคยผ่าน ๆ มา ดังนั้นเขาจึงอยู่นิ่งเฉยและรอคำสั่ง

 

”นาย ไปพักสะ“ อัลตร้า แมกนัสพูดในขณะที่เขาเอื้อมมือออกไปลูบหมวกของโอไรออนเบา ๆ และไม่ได้มองมาที่คนถูกสั่งแม้แต่น้อยด้วยเสียงเข้ม ”เส้นทางไปที่ห้องพักของนาย ฉันส่งเข้าไปในช่องสื่อสารของเนายแล้ว แค่เดินตามมันไป ถิามีอะไนเกิดขึ้นฉันจะส่งคอมลิ้งค์ไป“

 

”ส่วนตอนนี้ ลืมเหตุการณ์เมื่อกี้สะ อย่าเอาไปบอกใครที่นายอาจจะรู้จักผ่านช่องสื่อสาร และแค่ปล่อยเราไว้ตามลำพัง”

 

เมกาโทรนัสไม่ได้พูด เขาเลือกจะพยักหน้ารับคำและค่อย ๆ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าตามคำสั่ง แต่เพราะอะไรไม่อาจรู้ได้จากส่วนลึกของจิตใจเขากลับเรียกร้องให้เขาหันกลับไปมองคนที่พยายามจะเป็นเพื่อนของเขาและเขาทำมันในชั่วขณะหนึ่ง

 

และเขาเห็นมัน ใบหน้าเศร้าหมองของอีกคนใต้เซอร์โวสีดำของพี่ชายตัวเอง มันน่าดูน่าเศร้ามาก

 

เมกาโทรนัสอยากจะทำอะไรบางอย่างแต่เขาไม่ทำ เขาเบือกจะจากไปด้วยความรู้สึกผิดและตรงไปที่ห้องโดยที่ระหว่างคิดไปในหัวพลาง

 

ในพรุ่งนี้เขาจะทำอะไรให้โอไรออนรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง

Series this work belongs to: