Actions

Work Header

Goodbye 2015

Summary:

แซมต้องปลอมตัวเป็นตัวเองในอดีตไม่งั้นจักรวาลจะชนกันอย่างที่แอนเชี่ยนวันบอก

Notes:

อัพใน ReadAwrite เป็นหลักนะคะ

Chapter 1: จม

Chapter Text

ซามูเอล โทมัส วิลสัน กัปตันอเมริกาคนใหม่

ที่เคว้งคว้างไร้หนทางและหวาดกลัวกำลังยืนเหม่อลอยหน้ากระจกห้องผ่าตัด เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทำได้ดีหรือไม่ในบทบาทนี้ เรื่องเลวร้ายถาโถมเข้าใส่ไม่ยั้ง ไม่พอยังพาคนอื่นบาดเจ็บสาหัส เขาเฝ้าโทษตัวเองทุกวินาทีที่วาคีนนอนสลบอยู่ในห้องตรงหน้า เขาดีพอแล้วหรือยัง คำตอบคงเป็นภาพตรงหน้ากระจก

ไม่

ใครก็พูด เขาไม่ใช่สตีฟ โรเจอร์ส

แหงล่ะ ผมเขาบลอนด์มั้ง

แซมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แซมอยากรู้ว่าสตีฟต้องพิสูจน์ตัวเองขนาดไหนคนถึงจะยอมรับ ถ้าเขาทำตามสตีฟสักวันคนอาจจะมองเห็น น่าเสียดายเขาไม่ได้มีเวลานานเท่าสตีฟ อาจจะต้องพิสูจน์ตัวเองไปทั้งชีวิตว่าเขาคือกัปตันอเมริกา ไม่ใช่ที่โลกต้องการ แต่เป็นคนเดียวที่โลกมี

คงอาจจะเวิ่นเว้อไปหน่อย ใครก็เป็นกัปตันได้ถ้ารัฐบาลอยากจับยัด แต่ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะนำความหวังมาให้ผู้คนได้อย่างสตีฟ นั่นคือสิ่งที่เขาและวอร์คเกอร์ไม่มีวันเป็นได้

แน่นอน

เขาไม่ใช่สตีฟ

แซมอยากจะเก็บตำแหน่งกัปตันอเมริกาไว้ให้สตีฟเพียงคนเดียวขนาดไหน ผู้คน โดยเฉพาะรัฐบาลก็ยังต้องการกัปตันอเมริกา เขารู้ตัวว่าตัวเองจะไม่มีวันเทียบเคียงสตีฟ เป็นกัปตันตัวประกอบมีปีกบินอยู่ในฉากหลัง ถึงจะมีเป้าหมายเดียวกันคือช่วยผู้คน แต่เสียงของผู้คนต่อตัวเองก็สำคัญ เขาจะเป็นกัปตันอเมริกาไปทำไมในเมื่อโลกนี้ไม่ต้องการเขา

แซมหายใจเข้า ก่อนจะถอนหายใจออกพร้อมคราบน้ำตาเปื้อนแก้ม เขาเช็ดมันออกก่อนจะโฟกัสคนนอนผ่าตัด สภาพของวาคีนไม่สู้ดี หมอต้องปั๊มหัวใจยื้อชีวิตไม่ให้เสี่ยงไปมากกว่านี้ แผลฉกรรจ์ทั่วร่างแทบมองไม่เห็นเค้าเดิมก่อนหน้าออกบินบนน่านน้ำทะเล แซมมองตาที่หลับพริ้มอยู่บนเตียง เขาชักคิดถึงเสียงร่าเริงของวาคีนเข้าแล้ว

เหมือนไรลี่ไม่มีผิด ทำอะไรไม่ได้นอกจากแค่ยืนดู

เสียงกลอนประตูดังขึ้น

ชายผิวเข้มหันไปตามเสียงยังประตูก็เจอแขกรับเชิญไม่คาดคิด

บัคกี้ในชุดสูทยืนอยู่ตรงประตูถือช่อดอกไม้

แซมนิ่งค้าง เขากระพริบตาถี่ไล่รอยน้ำตาออกไม่ให้คนมาใหม่สังเกตเห็น ไม่อยากจะเชื่อว่านายคนนี้จะมาถูกเวลาเหมือนกับรู้ใจเขาอย่างไรอย่างนั้น หรือแซมอาจจะคิดไปเอง เขาแค่ต้องการคนข้าง ๆ แล้วฟ้าก็พาบัคกี้มาหาถึงหน้าห้อง แม้จะเป็นเพราะบัคกี้เห็นข่าววาคีนไม่ใช่เพราะเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยมีคนมาเพิ่มก็ยังดีกว่าพื้นที่โล่งไร้คนยืนที่มีแค่เขากับความน้อยเนื้อต่ำใจ

แซมรักบัคกี้ จะยอมรับหรือไม่แซมก็รักไปแล้ว เจอกันครั้งแรกด้วยประสบการณ์ที่ไม่ดีนัก แต่มันก็ค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังเป็นแค่คนรู้จักกันก็ตาม ตอนแรกแซมไม่เคยคิดจะสนใจบัคกี้เลย จนกระทั่งทุกครั้งที่อยู่ใกล้หัวใจเจ้ากรรมดันเผลอมองดวงตาสีฟ้าหมอกนั่น แล้วก็โดนเจ้าของนัยน์ตาลึกลับบีบจนปวดรวดร้าวราวหวังจะให้มันแหลก เป็นความเจ็บปวดที่สวยงามเหมือนผีเสื้อห้อมล้อมรอบกาย ซึ่งเขาชอบมันมากเกินกว่าจะยอมรับ แซมหลงระเริงคิดว่าสิ่งนี้คือความรักความรู้สึกดี ๆ เขาเคยกอด หัวเราะ เผลอจับมือ สบตากัน ทุกอย่างทำให้แซมที่ว่างเปล่าเกิดความโหยหาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อยากจะโดนกอด ถูกสัมผัส อะไรก็ได้ขอแค่เป็นบัคกี้

อาจจะเพราะดวงตาคมเหมือนเหยี่ยว เขาถึงมองทะลุผ่านม่านหมอกความทรมานในนัยน์ตาบัคกี้ แล้วเจอชายหนุ่มจากยุคสงครามโลกที่ยังยิ้มร่าอยู่ในนั้น ทุกครั้งที่ชายคนนั้นเข้าใกล้ พลุถูกจุดในใจตลอดเวลา ระเบิดความสุขออกโชติช่วงในพื้นที่ว่างเปล่า แต่มันก็อยู่ไม่นาน ยิ่งแซมเข้าใกล้บัคกี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสพติด โดนเบลเซบับกัดกินความคิดเข้าสิงควบคุมสมอง มีแต่ความโหยหาความรักจากบัคกี้ โดยที่ไม่รู้ว่าทุกอย่างไม่มีอะไรจริงเลย เขาแค่คิดไปเอง บัคกี้คุยกับเขาก็แค่เพราะเป็นเพื่อนของสตีฟ

แล้ววันหนึ่งหลังสตีฟจากไป เจมส์ บาร์นส์ก็หายเข้ากลีบเมฆ ตีตัวออกห่างแซมที่พยายามเข้าใกล้ แชทที่หนักขวาไร้การตอบกลับจากอีกฝ่ายเป็นเวลากว่าหกเดือน ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าแซมคิดมากไปเอง แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่เชื่อว่าผีออกไปแล้ว มันก็จะกลับมาใหม่ พอแซมเริ่มเคยชินกับการไม่มีบัคกี้ เขาก็มาปรากฏตัวโวยวายใส่เขา แล้วเรื่องวายป่วงก็เกิดขึ้น จนใกล้ชิดกันมากกว่าครั้งไหน ๆ เขาพาบัคกี้ไปบ้าน บัคกี้ก็เข้ากับทุกคนในครอบครัวเขาได้ดี แซมอยากให้บัคกี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนพอแซมเริ่มเสพติดอีกครั้งบัคกี้ก็หายไป

เราก็แค่คนรู้จักกัน

แต่ถึงแบบนั้นบัคกี้มักโพล่มาเสมอเมื่อเขารู้สึกสิ้นหวัง ไม่รู้ทำไม หรืออาจจะไม่ใช่ อาจจะเป็นเขาเองที่มองหาใครสักคนในวันที่ท้อ แล้วก็เป็นเขาเองที่เอาแต่มองหาบัคกี้โดยไม่รู้ตัว คนมันเคยชินกับการไล่ตาม แม้แต่ความเสียใจของเขาก็ยังไล่ตามบัคกี้เป็นเงา ทุกครั้งที่จับโล่เขาจะมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นบัคกี้อยู่ปลายขอบเหล็ก คนที่คอยตามเขาทุกฝีก้าวแห่งการพิสูจน์ตัวตน เหมือนเป็นคนเดียวที่รับรู้ถึงความพยายามของแซม

เสียงกระแอ่มดังขึ้น ก่อนที่แซมจะรับรู้ได้ว่าบัคกี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แซมรู้ตัวอีกทีเขาก็หยุดหายใจไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก อกเต้นรัวราวกลองดังสนั่น แค่แซมเชยตามองคางอีกฝ่ายก่อนจะหยุดที่สันจมูกโด่งเขาก็อยากจะหลบหน้าหนีให้พ้น แซมไม่กล้าพอจะสบตาอีกฝ่ายมันทำให้เขาร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนคนเป็นไข้ ซึ่งแปลกเพราะเขาชอบมันกว่าที่คิด ชายผิวเข้มเลือกจะหนีจากอาการแปลก ๆ นี่ไปยังกระจกใสก่อนที่ใครจะรู้ว่าเขาทำตัวประหลาด

บัคกี้เขยิบเข้ามาใกล้ เขาต้องพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่ไม่โง่และดูเหมือนเขาตื่นเต้นที่เจอบัคกี้

“นี่ห้องส่วนตัว ออกไปเลย”

นี่แหละ ฉลาด

“คิดถึงเหมือนกัน”

บัคกี้จ้องแซมไม่วางตาตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขารับรู้ได้ ทุกจุดที่ดวงตาฟ้าสว่างนั่นจรดลงตรงไหนของร่างเขามันจะร้อนดั่งเปลวเทียน จากมือเลื่อนขึ้นตามแขน อ้อยอิ่งที่ลำคอ โหยหาตรงริมฝีปากก่อนจะจบที่นัยน์ตาดำสนิท แซมไม่รู้ว่าควรเชื่อสัญชาตญาณตัวเองดีไหม ก็น่าจะคิดไปเองเหมือนที่เขาเป็นอย่างเคย แต่แซมก็อยากจะเชื่อสักครั้งว่าบัคกี้มาหาเขา

แซมก็ทำได้แค่ยิ้ม เขาฝืนตัวเองไม่ไหวหรอก

“ไม่อยากยอมรับเลยว่าดีใจที่นายมา”

แซมพูดจริงจากใจ เขาหวังว่าความรู้สึกนี้จะส่งถึงบัคกี้ได้ ไม่ทันไรบัคกี้ก็วางดอกไม้ก่อนจะหันมากอดเขา แซมกอดกลับ ก็แค่กอดธรรมดาไม่วิเศษวิโสอะไร หากมันมีความหมายมากสำหรับชายที่หลงทาง เขาหลับตาพริ้ม ร่างสัมผัสทุกกล้ามเนื้อผ่านผ้าแนบกาย แลกเปลี่ยนไออุ่นทุกอณูผิว แขนเหล็กไวเบรเนี่ยมด้านซ้ายรวบตัวแซมให้ใกล้ขึ้นอีกนิด แม้มันจะแข็งกระด้างไม่เหมือนอีกข้างแต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ถึงจะรู้ว่าแขนนี้คร่าชีวิตใครมาแล้วบ้างก็ตาม แซมพยายามเก็บทุกความรู้สึกนี้ไว้ก่อนมันจะไม่มีอีก กลิ่นโรลออนเดิมที่บัคกี้ใช้ผสมไม้สนอ่อนที่เขาเคยซื้อให้แทรกตามเสื้อออกมาจาง ๆ แอบดีใจอีกครั้งที่บัคกี้ชอบสิ่งที่เขาเคยให้จนเจ้าตัวต้องไปตามซื้อมาใช้เองต่อ รู้สึกสำคัญตัว แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดไปเองไกลกว่านี้

คิดถึง เขาก็อยากพูด แต่คงไม่ใช่แบบเดียวกันกับที่บัคกี้สื่อ นายสส.ขยับศีรษะมาใกล้จนริมฝีปากแทบแนบลำคอใต้ใบหู ลมหายใจร้อนเป่ารดคอทำเอาไหล่แซมกระตุกจั๊กจี้เล็กน้อย แซมปล่อยกอดก่อนดันอีกฝ่ายออก ไม่อยากให้บัคกี้ได้ยินเสียงใจเต้นดังทะลุอกน่ารำคาญนี่แล้วกลับมายืนปกติ บัคกี้ทำอะไรก็เรียกอาการร้อนเห่อของเขาได้ไปหมด แล้วนี่ก็ไม่ใช่เวลามาเขิน เขากำลังจริงจัง แซมบอกตัวเอง

“นายดูเท่มากเลยในข่าวหกโมง แต่แล้วก็เห็นนี่”

วาคีนนอนอาการล่อแล่ ยิ่งเห็นแซมก็ยิ่งท้อใจ

“หมอต้องช่วยกันปั๊มหัวใจเขากลับมา ยังไม่รู้ว่า…”

“ไม่ใช่ความผิดนาย”

บัคกี้พูดสวน แซมเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ความห่วงใยเอ่อล้นนัยน์ตาฟ้า ความอบอุ่นที่แม้มือจะอยู่ข้างตัวแต่ก็เหมือนกำลังลูบหลังแซมอยู่

“นึกถึงสตีฟเลย อีกทีซิ เขาหยุดต่างดาวที่มารุกรานนี่กี่ครั้ง”

“สอง”

“สอง? ว้าว”

น่าทึ่งเป็นบ้า น่ายกย่องที่สุด สุดยอดของมนุษย์ แซมล่ะชื่นชมเขายิ่งกว่าอะไร ดีใจแทบบ้าที่ได้สู้เคียงข้างตำนาน แล้วตอนนี้เขาล่ะ ผู้ถือโล่คนต่อไปที่หวาดหวั่นไม่แพ้ประชาชน ดูคนตรงหน้าเขา นอนสลบไม่รู้เรื่อง เขามันก็แค่คนธรรมดาไม่ได้มีพลังอะไร ถ้าแซมเป็นมากกว่านี้ทุกคนคงอาจจะยังอยู่ดี

“อะไรดลใจให้ฉันคิดว่าจะตามรอยเขาได้ รู้งี้ควรฉีดเซรุ่ม แบบสตีฟ แบบนาย”

“ทำไม”

“เพราะเริ่มรู้สึกแล้วว่าสถานการณ์มันหนักเกินมือฉันไปเยอะ”

“รอสเขาขอให้ฉันจัดตั้งทีมอเวนเจอร์สขึ้นมาใหม่ บัค แต่วาคีนยังนอนเจ็บ ไอเซอาห์ยังอยู่ในคุก และสเติร์น ตอนนั้นสเติร์นมันอยู่ในมือฉันแล้วแต่หนีไปได้ จนเกือบจวนเจียนพาเราเข้าสู่สงคราม ก็เพราะฉันไม่—”

ทุกอย่างมันก็เป็นเพราะเขา ถ้าเขาดีกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้จะปกป้องคนอื่น ๆ ได้ แค่นี้เขายังทำไม่ได้ เอาปัญญาที่ไหนไปก่อตั้งทีมที่จะพาคนอีกมากไปเสี่ยงชีวิต

“อยากระบายอะไรก็ว่ามา” บัคกี้พูด

แซมเชื่อสตีฟมาตลอด ยกเว้นอย่างเดียว

“สตีฟเลือกคนผิดแล้ว”

ที่ว่าเขาเหมาะสม

บัคกี้ขยับเสื้อสูทให้สบายตัว เขายิ้มให้แซม บัคกี้เข้าใจดีว่าการดีไม่พอมันรู้สึกอย่างไร สตีฟเชื่อแซม ทั้งคู่ร่วมสู้ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมา เขาเห็นตัวตนหลากหลายแบบของแซม สตีฟไม่ได้ให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า เขามีเหตุผลเสมอ คนแบบเดียวกันย่อมมองเห็นกันเอง สตีฟเชื่อว่าแซมก็มีพลังใจไม่ต่างจากเขา เชื่อว่าแซมจะนำทางให้คนอื่นได้ เป็นคนที่คู่ควรกับโล่นี้อย่างสมเกียรติ สำหรับสตีฟเขาไม่มีคำถามในการตัดสินใจส่งต่อโล่ให้แซมของตัวเอง บัคกี้ก็รู้ดี ไม่ใช่แค่เพราะเขาเชื่อสตีฟเลยเชื่อในแซม แต่เพราะเขาเองก็อยู่ข้างแซมไม่ต่างจากสตีฟ เห็นแซมในแม้แต่ในช่วงที่ยากลำบาก แค่นั้นก็เห็นแจ้งทันทีว่าแซมเหมาะสมเพียงใด ใยเจ้าตัวกลับมองไม่เห็นถึงแสงสว่างของตัวเอง

นกน้อยไม่มีวันรู้หรอกว่าตอนมันกางปีกออกกลางท้องฟ้ามันงดงามแค่ไหน แต่คนที่เฝ้ามองอยู่เบื้องล่างนั้นรู้ดี

“ไม่ได้ผิดเลย เขาให้โล่นั่นกับนาย ไม่ใช่เพราะนายแข็งแกร่งที่สุด แต่เพราะนายเป็นนาย คิดหรอว่าฉีดเซรุ่มแล้วจะปกป้องทุกคนที่นายอยากปกป้องได้ สตีฟก็ฉีดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นายเป็นปุถุชนและสู้เต็มกำลัง”

“สตีฟทำให้คนมีที่ยึดเหนี่ยว แต่ว่านาย เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน”

แซมยืนนิ่ง บัคกี้ไม่รู้ว่าแซมจะเข้าใจไหมที่เขาต้องการจะสื่อ สตีฟเลือกแซมที่เป็นแซม ไม่ใช่ร่างโคลนของใคร และแซมก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่แสดงให้คนนับล้านเชื่อว่าเขาเองก็เป็นฮีโร่ได้เหมือนกัน นั่นต่างหากคือสุดยอด ไม่ใช่ข้ออ่อนด้อยเลยด้วยซ้ำ อย่างที่ว่า บัคกี้มาพร้อมกับความมั่นใจของแซมเสมอ

พูดดีแบบนี้สคริปต์แน่นอน แซมหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อหู

“ให้พวกนักเขียนบทช่วยปะเนี่ย”

“ก็มีแหละ นิดนึงตอนท้าย ฟังแล้วไม่โดนหรอ”

“ไม่ๆ ก็ใช้ได้ โดนเลย ให้บีบวก”

“ดราม่าจัด“

“โคตรจะรู้สึกเลย”

“แต่ก็ได้ผล”

“จริง”

แซมยิ้ม ดีใจที่บัคกี้อุตส่าห์เตรียมบทพูดให้กำลังใจมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

“คืองี้พอดี ต้องไปขึ้นเครื่องบิน มีงานรณรงค์ระดมทุนบ้าบอมาก”

บัคกี้มองแซม แซมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงขนาดไหน เขาก็แค่ยิ้มตอบให้อย่างจริงใจ แซมเห็นบัคกี้กระตุกยิ้มเล็กน้อย

“ทุกอย่างจะโอเค เพื่อน”

“ขอบใจบัค”

บัคกี้หยิบช่อดอกไม้แล้วยื่นให้แซม กุหลาบสีแดงสดสิบดอกสวยสดไร้รอยช้ำ คงถูกดูแลมาอย่างดีจากนายนักการเมืองหน้าใหม่ แซมรับมันมา แอบสงสัยเล็กน้อยว่ามาเยี่ยมวาคีนทำไมต้องให้กุหลาบแดง ไม่ยักรู้ว่าพิศวาสอะไรวาคีนด้วย หรือไม่ได้หมายถึงอะไรเลย ก็แค่ของเยี่ยม

“รักนายนะเพื่อน”

แก้มสีซีดนั้นแต้มแดงฝาด แซมเอียงคอมองอีกฝ่าย บัคกี้ก็เผลอยิ้มอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าตัวเองยิ้มโง่ขนาดไหน และพูดตามตรงแซมชอบมันสุด ๆ

เพื่อน ก็งั้นแหละ ดอกไม้จะไปมีความหมายอะไร

เขาคิดมากไปเองอีกแล้ว

แซมออกไปกู้โลกจากประธานาธิบดีฮักสีแดงและแผนร้ายของสเติร์น จนได้รู้ซึ้งว่าบัคกี้แม่งไร้สาระ รู้งี้ฉีดเซรุ่มดีกว่า

 

เมื่อแซมไปที่คุกเดอะราฟท์ สเติร์นก็พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดและมันรบกวนจิตใจเขาไม่น้อย

‘นายคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกป้องเพียงคนเดียวหรอ นายคิดว่านี่คือโลกเดียวงั้นหรอ เราจะได้เห็นกันเมื่อนายต้องปกป้องโลกนี้จากผู้ปกป้องคนอื่น’

‘อะไรวะ พูดอะไรวะ มีไรจะพูดก็พูดเลย หมกเม็ดเพื่อ’ แซมหงุดหงิด

สงสัยแทบบ้าแต่ก็ไม่มีคำตอบ เขาลองพยายามติดต่อด็อกเตอร์สเตรนจ์เผื่อจะมีอะไรดี ๆ บ้างแต่ก็พบว่าเขาหนีไปผจญภัยที่อื่นแล้วและหว่องก็พักร้อน จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าพักร้อนด้วยอีกคนไปเลยดีไหม แต่ใครบอกว่าเป็นกัปตันอเมริกาแล้วจะมีเงินกินข้าว คงเป็นอย่างเดียวที่สตีฟไม่เคยบอก

แซมเอาเรื่องที่สเติร์นพูดไปปรึกษากับวาคีนที่อาการดีขึ้นและไอเซอาห์ก็ไม่ได้ความอะไรมากเพราะทั้งสองไม่ได้รู้เรื่องฟิสิกส์ อวกาศ ต่างโลก เอเลี่ยน อะไรเทือกนั้น คงมีแต่คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ก่อนศึกธานอสครั้งสุดท้ายที่พอรู้เรื่องอยู่บ้าง ถ้านับจากตอนนี้สมาชิกก็คงเหลือไม่กี่คน

“สก็อต แลง? อะไรนะ ไอ้มนุษย์มดน่ะ ตามที่นายบอกเขาเป็นคนต้นคิดเรื่องการย้อนเวลาไม่ใช่หรอ น่าจะไปคุยกับเขาดู”

ไอเซอาห์เสนอรายชื่อคนที่ยังอยู่ดีบนโลกที่พอจะช่วยแซมไขกระจ่างได้ แซมพยักหน้า บางทีเขาน่าจะลองติดต่อกับสก็อตดู น่าเสียดายตัวเขาอยู่ดีซีส่วนสก็อตอยู่แคลิฟอร์เนีย มีทางเดียวคงต้องติดต่อทางอินเตอร์เน็ตซึ่งเขาไม่มีช่องทางไหนที่จะติดต่อสก็อตได้เลย แซมแอบเสียดาย เขาเคยแลกเบอร์โทรศัพท์กันเมื่อก่อนที่ตัวเขาจะโดนดีดนิ้วหายไป พอกลับมาโทรศัพท์เจ้ากรรมดันหายไปดื้อ ๆ ทำให้เสียข้อมูลหลายอย่างที่สำคัญไป

ไอเซอาห์หรี่ตามองแซม ทำไมเคยสู้ด้วยกันถึงไม่มีช่องทางติดต่อกันเลย แซมก็ไม่ใช่คนเก็บตัว ค่อนข้างจะตรงกันข้ามเสียเลยด้วยซ้ำ พอเขาคิดดูแซมก็เอาแต่คลุกตัวอยู่กับเขาและวาคีน มีบัคกี้ที่เริ่มยุ่งจากการเป็นสส.หน้าใหม่มาแวะเวียนบ้างประปราย

“อย่าบอกนะว่าไม่มีใครคบ”

แซมขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่แบบนั้น คือก็เคยมีเบอร์กันแต่โดนดีดนิ้วโทรศัพท์อันเก่าก็หายไปเลย”

“ไม่เป็นไรนะแซม คุณก็มีผมและลุงเป็นเพื่อน”

“เว่อร์ไป หน้าแบบนี้ก็มีเพื่อนอยู่”

ทั้งสองหัวเราะแซมที่โดนล้อ แซมกลั้นยิ้มเบะปากพยายามไม่หลุดยิ้มโง่

วาคีนจัดการหาเบอร์สก็อตผ่านการอะไรสักอย่างที่แซมไม่รู้เรื่อง เขาปล่อยให้วาคีนทำงานก่อนจะปลีกตัวออกมานั่งเล่นบนโซฟา นายกัปตันเปิดโทรทัศน์ดูช่องรายการเกมโชว์ ในยามบ่ายแก่มักไม่มีอะไรน่าดูนัก มีเพียงโชว์เก่าที่นำกลับมาฉายใหม่ฆ่าเวลารอช่วงเย็นที่ผู้คนกลับจากทำงาน

ถ้าคุณได้ย้อนเวลาคุณจะทำอะไร

ผมจะกลับไปอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ จะกลับไปจำว่าเขาชอบอะไร กลับไปชวนเขาเดินเล่น ผมจะสอนเขาตกปลาอย่างที่เขาเคยขอ จริง ๆ เขาไม่ได้หายไปไหน แค่คนอื่นเขาทำแทนผมไปแล้ว ผมดีใจที่เขามีความสุข แต่ผมอยากเป็นคนนั้นที่ทำให้เขายิ้ม

โอ้ว คำตอบซึ้งกินใจมากครับ ตอนนี้คำตอบของผู้ท้าชิงแต่ละท่านกินกันไม่ลงจริง ๆ มารอดูกันครับว่าคำตอบของใครจะโดนใจกรรมการได้เงินล้านไป พักชมโฆษณากันสักครู่ แล้วเดี๋ยวเรากลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งครับ

แซมนึก ถ้าเป็นเขาจะทำอะไร

คง… ไม่รู้สิ

การอยากย้อนเวลามักเกิดจากความเสียดาย แซมก็มีความเสียดาย แต่เขาก็ยอมรับความจริงแล้วก้าวไปต่อ ถ้ากลัวเสียดายก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าดีที่สุดแล้วหรือยังแต่ก็พยายามอยู่

แซมเปลี่ยนช่องรายการทันที ดูสารคดีสัตว์โลกอะไรเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลารอวาคีนหาเบอร์สก็อต

ไอเซอาห์เดินมาหาแซมก่อนจะนั่งลงโซฟาอีกตัวแล้วขโมยรีโมทแซมมาเปลี่ยนช่องเล่น แซมยู่หน้าแต่คนอาวุโสกว่าก็หาได้สนใจ เขาเปลี่ยนเป็นช่องข่าวน่าเบื่อ รายงานข่าวธรรมดาทั่วไปดินฟ้าอากาศ ไม่มีอะไรพิเศษนัก

“แซม ผมเจอแล้ว!” วาคีนตะโกนเรียก

หนุ่มกัปตันรีบเดินไปหาที่โต๊ะ วาคีนยื่นกระดาษจดเบอร์มาให้ เขามองวาคีนที่ยิ้มภูมิใจกว้างเหมือนสุนัขพันธุ์โกลเด้น แซมไม่แน่ใจว่าได้มาอย่างไรแต่ที่แน่ ๆ ไม่ดีแน่นอน แต่ช่างประไร เขามีสิ่งที่สงสัยมากกว่ารออยู่ แซมรีบกดเบอร์ตามที่เขียนไว้แล้วกดโทรออกเปิดลำโพงทันที ไม่นานนักปลายสายก็รับโทรศัพท์

“ฮัลโหล?”

“หวัดดีสก็อต ฉันแซมนะ”

“อ้าวว่าไงคุณกัปตัน! ฉันเห็นนายในทีวีหลายเดือนก่อนด้วย ตอนนั้นฉันโทรไปไม่รับคงเปลี่ยนเบอร์ล่ะสิ”

“อ้อใช่ ฉันเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว โทรศัพท์เก่าหายน่ะ”

“จู่ ๆ ก็โทรมา มีอะไรหรือเปล่า”

“ก็นิดหน่อยแหละ อืม… ไม่..ไม่นิดหน่อย ขอเข้าเรื่องเลยนะ คือหลายอาทิตย์ก่อนฉันไปหาสเติร์นที่เดอะราฟท์แล้วเขาก็พูดประมาณว่า นี่ไม่ใช่โลกเดียวที่เรารู้จัก รอดูวันที่เราต้องปกป้องโลกนี้จากคนอื่น อะไรเทือกนั้น ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไรแต่ไม่ดีแน่นอน ฉันคิดว่ามันน่าจะมีอะไรเอี่ยวกับเรื่องมิติหรือย้อนเวลาอะไรสักอย่างนี่แหละ นายพอจะรู้อะไรไหม”

“ว้าว ไอ้สเติร์นนี่ใครทำไมมันรู้ดีจัง คืองี้นะ ก่อนที่พวกนายจะโดนดีดนิ้วกลับมาพวกเราได้สร้างเครื่องเดินทางข้ามเวลา ซึ่งเราต้องเข้าใจใหม่ว่าการย้อนเวลามันจะไม่มีทางส่งผลถึงปัจจุบันเพราะ เราย้อนเวลาแบบนั้นไม่ได้ ให้พูดคือเราไปอีกจักรวาลที่ช่วงเวลาปัจจุบันนั้นอยู่ในช่วงอดีตของเราต่างหาก ก็คือ การย้อนเวลาไม่มี มีแต่การไปจักรวาลอื่น และที่เขาพูดว่าปกป้องโลกนี้จากคนอื่น เอาตรง ๆ ฉันก็เพิ่งเจอมา ฉันไปมิติควอนตั้มอีกครั้งแล้วเจอชายคนนึงมาจากต่างมิติ และมีเขาเยอะมากที่มาจากจักรวาลอื่นอีก นั่นน่าจะหมายความว่าสเติร์นกำลังพูดถึงคนจากจักรวาลอื่น ไม่ใช่แค่พวกเราที่รู้ถึงการข้ามจักรวาล คนอื่นก็รู้”

แซมและวาคีนที่ฟังต่างก็ทำหน้าอึ้งไม่แพ้กัน เขาเลิกคิ้ว ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะไหวหรือเปล่าถ้าเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นจริง แค่ฮักร่างแดงก็ทำเขาแทบร่วง(ซึ่งก็ร่วงแล้ว ดีที่รอสกลับเป็นร่างปกติสะก่อน) ถ้าคนจากมิติอื่นโพล่มาเขาคงทำอะไรมากไม่ได้แน่ แต่แซมคิดว่าที่สเติร์นพูดมันมีอะไรมากกว่านั้น เขารู้สึกว่าสเติร์นก็ยังเหมือนรู้ไม่หมด

“ว้าวนั่น… โคตรสุดยอด ก็คือสเติร์นรู้ถึงการมีอยู่ของจักรวาลอื่น หมอนั่นสมองใหญ่เป็นบ้า แต่เขาพูดเหมือนว่ามันกำลังมีอะไรจะเกิดขึ้น ไม่รู้สิ สังหรณ์ใจน่ะ”

“ฉันไม่รู้นะ แต่รู้สึกว่าการเข้าไปยุ่งกับการข้ามเวลามันจะสามารถส่งผลเสียได้ หมอแปลกล่ะ ถามเขาหรือยัง”

“เขาหนีไปผจญภัยแล้ว หว่องก็ลาพักร้อน หนีหายหมดเลย ขอบใจมากสก็อต รู้เรื่องขึ้นเยอะเลย แล้วก็ขอบคุณที่โทรหาตอนนั้นนะ โทษทีที่เปลี่ยนเบอร์”

“เออน่าไม่เป็นไร—”

“แซม! มาดูนี่!”

ไอเซอาห์ตะโกนเรียกขัดสก็อต แซมหันมามองหน้ากับวาคีนก่อนจะเดินออกมา ปล่อยให้วาคีนคุยกับสก็อตไปก่อน เขาเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของไอเซอาห์แล้วใจไม่ดี ชายแก่ชี้ไปที่โทรทัศน์แล้วสายตาของแซมก็จ้องมองบนหน้าจอนั่น

ข่าวด่วนประกาศมาจากนิวยอร์กที่จู่ ๆ ก็มีชายปริศนาร่างดำทมิฬลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับสีดำที่แปดเปื้อนไปทั่วมหานคร ร่างของผู้คนที่กลายเป็นรอยดำทันทีที่ความมืดคืบคลานเข้าหา เขาลอยนิ่ง แม้เฮลิคอปเตอร์จะไล่ยิงเขาขนาดไหนก็ไม่สะท้านเลยสักนิด แค่สะบัดมือเดียวทุกอย่างก็ร่วงหล่นไม่เป็นท่า ณ เวลานี้ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ฮีโร่คนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครอยู่ใกล้เลย

แซมทั้งอึ้งและหวาดหวั่น เขานึกขึ้นมาได้ว่าบัคกี้ก็อยู่นิวยอร์ก เขารีบเอาโทรศัพท์ของไอเซอาห์กดเบอร์ที่ตัวเองจำได้แม่นโทรหาชายวัยร้อยสิบปีทันทีแต่ก็ไร้คนตอบรับ แซมร้อนใจ ถ้าบัคกี้กลายเป็นหนึ่งในร่างดำนั่นแล้วล่ะ จะอะไรก็ช่างมันไม่ดีแน่

“นั่นมันอะไรวะนั่น” ไอเซอาห์พูด

“ไม่ได้การแล้ว ผมต้องไป”

ว่าจบแซมก็รีบไปเอาชุดตัวเองที่ทางวากานด้าเพิ่งจะซ่อมเสร็จมาใส่ เขาตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แน่ใจก่อนจะออกตัวอย่างไม่รีรอ แต่ไม่ทันไรไอเซอาห์ก็คว้าแขนเขาได้ก่อนแล้วลากแซมกลับมาที่โทรทัศน์อีกครั้ง

“ไม่แซม มาดูนี่ก่อน”

“อะไรเล่าลุง ผมต้องรีบแล้วเนี่ย“

ไอเซอาห์กดแซมให้นั่งลงโซฟา ด้วยแรงของซุปเปอร์โซลเยอร์สู้กับคนธรรมดา แซมก็นั่งลงโดยปริยายไม่สามารถต่อต้านแรงได้ แต่แซมก็ไม่คิดจะขัดขืนอะไร ชายแก่นั่งลงจ้องหน้าจอข่าวไม่วางตา

พื้นที่สีดำในนิวยอร์กค่อย ๆ หดลงกลับเข้าสู่ชายทมิฬกลางฟ้า ผู้คนที่โดนเปลี่ยนร่างเริ่มกลับมาเป็นปกติ จนในที่สุดนิวยอร์กก็สว่างดังเดิม นั่นยิ่งสร้างความสับสนให้คนหลังจอมากยิ่งขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจู่ ๆ เงาดำนั่นหดกลับ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ

ไม่นานนักข่าวก็ตัดไปที่การสัมภาษณ์ของหญิงคนหนึ่งที่แซมคุ้นตา หญิงผมไฮไลท์บลอนด์ยืนให้สัมภาษณ์เรื่องการเปิดตัวฮีโร่คนใหม่ พื้นหลังเป็นซากปรักหักพังของนิวยอร์กคาดว่าเธอก็อยู่ในเหตุการณ์ สักครู่เดียวกลุ่มคนก็ตามหลังเธอออกมาจากฉากหลัง

ใครก็ไม่รู้เสื้อแดง ๆ น้องสาวนาตาชา ใครก็ไม่รู้อีกเสื้อดำ ใครก็ไม่รู้อีกคนเสื้อน้ำเงินยืนเก้ ๆ กัง ๆ ว้าว จอห์น วอร์คเกอร์กับโล่ขนมเบื้องและ

 

บัคกี้

 

ตอนนี้แซมมีแต่คำถามในหัว

ทำไมบัคกี้ไปอยู่ตรงนั้น

“ผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอเชิญพบกับ ทีมอเวนเจอร์สทีมใหม่ค่ะ”

 

ห้ะ

 

ห้ะ

 

เกิดอะไรขึ้น

 

ทำไม?

 

แซมนิ่ง รูปปั้นก็มิปาน

ไอเซอาห์และวาคีนหันมามองหน้ากันทันทีเมื่อได้ยินเสียงข่าวและเห็นว่าใครในทีวีที่แซมสนใจมากที่สุด บัคกี้ยืนอยู่ท่ามกลางสื่อมวลชนมากมายในการประกาศทีมอเวนเจอร์สที่คาดว่าน่าจะอยู่ภายใต้วาเลนติน่า ทั้งคู่ไม่รู้ว่าแซมจะมีกระจิตกระใจจะสังเกตไหม กลุ่มคนที่ยืนอยู่ต่างมีสีหน้าที่บ้างสับสนและไม่เข้าใจ แต่ที่มีเหมือนกันคือความบาดเลือดแค้นในดวงตาต่อหญิงที่ประกาศกร้าว รู้ได้ในทันทีว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น ที่น่าสงสัยคือไร้ร่องรอยของชายร่างดำสนิทนั่นแล้ว

แซมเคยชวนบัคกี้แล้วแต่เขาก็บอกว่าเขาอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ซึ่งตอนนั้นแซมก็เข้าใจได้และสนับสนุนการเป็นสส.ของเขา

ละนี่อะไร

เปลี่ยนแปลงแบบไหน ทรงผมหรอ ยาวขึ้นนะ

ตอนแรกปัดเป๋ขวาตอนนี้ย้ายมาปัดเป๋ซ้ายงี้?

บัคกี้แม่งไร้สาระ

แซมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง เขาสับสน ไม่เข้าใจ โกรธ ยินดี รำคาญ หงุดหงิด ซึ้ง เบื่อ ดีใจ ตลก ตื่นเต้น เขารู้สึกทุกอย่าง ดีใจที่มีผู้คนลุกขึ้นต่อสู้แต่ก็ดีใจไม่สุดเพราะดูท่าแล้วทีมอเวนเจอร์สนี้มีเบื้องหลังเป็นหุ่นเชิดรัฐบาลที่มีวาเลนติน่าคุม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่แซมคอยต่อสู้ร่วมกับสตีฟเมื่อตอนเหตุที่สนามบินเยอรมันและโดนจับขังคุกที่เดอะราฟท์ ซึ่งเขาติดอยู่นั่นนานกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ เขาไม่ยอมรับดีลกับรัฐบาลเพื่อไปขังที่บ้านแบบคลินท์หรือสก็อต และหนีไปไม่ได้แบบสตีฟ วานด้าหรือแม้กระทั่งบัคกี้ที่หนีไปอยู่วากานด้า เพื่ออุดมการณ์ที่อเวนเจอร์สต้องไม่เป็นหุ่นเชิดให้ใครแม้แต่รัฐบาล ดูตอนนี้ใครกันที่ยืนหลังผู้อำนวยการCIA ไม่อยากจะเชื่อเขาหงุดหงิดแทบบ้า เขาไม่อยากพูดแต่ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองสู้เพื่ออะไรก็ไม่รู้ เหตุวันนั้นมันยังมีความหมายอยู่ไหมใครจะทราบ

ไม่ แซมไม่เชื่อ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้

แซมไม่อยากเสียบัคกี้เพราะการคิดมากของเขา

เขาต้องรู้จากปากเจ้าตัวก่อนเท่านั้น ถึงแม้ว่าหูข้างหนึ่งจะปิดการรับฟังไปแล้วก็ตามและก็แอบมีคำตอบอยู่แล้วในใจ หนุ่มกัปตันไม่อยากเชื่อตัวเองไปมากกว่านี้ เขาอยากเชื่อบัคกี้

แต่วันนี้ขอพอก่อน

ทำดีที่สุดแล้วหรือยังก็ไม่รู้ แต่ไม่อยากทำแล้ว

อยากนอน ไปวิ่ง หรือเมาให้หลุดโลก อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไปคุยกับบัคกี้ อยากคุยแต่อีกใจก็อยากหนี หนีไปคุยไปได้ไหมล่ะ ก็ไม่

“แซม?”

สก็อตเรียกจากสายที่ยังไม่ตัด

“ฉันเห็นข่าวแล้วนะ”

วาคีนและไอเซอาห์ต่างก็ไม่วางตาจากกัปตันหนุ่ม ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ทุกคนรอแซมที่จะพูดอะไรบางอย่าง เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าต้องก้าวขาข้างไหนก่อน เดินไม่ออกก็บิน มีปีกสะอย่าง

แซมไหวไหล่

“ขอออกไปสูดอากาศสักเดี๋ยวแล้วกัน”

แล้วชายในชุดกัปตันอเมริกาก็บินออกระเบียงไป

 

ท้องฟ้าดีซียามค่ำคืนวันนี้สวยกว่าวันไหน ๆ มลพิษทางแสงน้อยกว่าวันปกติเพราะเหตุที่นิวยอร์กทำเอาคนตื่นตระหนกหนีเข้าบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่แสงสลัวตามท้องถนนและป้ายร้านค้า แม้แต่รถยนต์ยังน้อยจนแทบเดินเล่นบนถนนได้ เงียบ สงบ ผิดแปลกจากเมืองใหญ่ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะบินเล่นโดยไม่มีใครสนใจ

เวลาตอนนี้เกือบเที่ยงคืนหรือกี่โมงแล้วแซมไม่ได้ใส่ใจนัก เขาบินมาหยุดอยู่บนเสากลางสะพาน ถอดหน้ากากออกแล้วนั่งลงเอนตัวพิงเสา ปล่อยให้ลมอุ่นพัดผ่านกาย ปล่อยให้ตาปิดลง ปล่อยทุกอย่างออกเหลือแค่แซมวิลสันคนธรรมดา

แซมไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือยัง บางทีเขาควรจะโทรหาไปบัคกี้แต่ก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่วาคีน หรือทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่คิดมากไปเอง บางทีบัคกี้อาจจะแค่หลงเข้าไปช่วยไม่ก็โดนใครจับบังคับอีก ไม่รู้ทำไม แค่ต้องคิดเรื่องที่แย่ที่สุดไว้ก่อน เพราะเมื่อความจริงเปิดเผยเขาจะได้เจ็บน้อยที่สุด

ทั้งหมดอาจจะเกิดจากความเห็นแก่ตัว

เขาไม่ได้อยากให้บัคกี้ไปอยู่กับคนอื่น

มันทำให้แซมรู้สึกเหมือนไม่มีใคร แม้คนเป็นล้านรอบตัวเขาก็ตาม อยากชวนมาบ้านไปตกปลาด้วยกัน ถ้าไม่ขอมากเกินไป แซมแค่รู้สึกน้อยใจ ถ้าในทีมไม่มีบัคกี้เขาคงแคร์น้อยกว่านี้ ยิ่งคิดทรวงอกยิ่งปวดหนึบเข้าไปใหญ่

สายตาเหนื่อยล้าทอดมองไปยังเบื้องล่าง เห็นหญิงคนหนึ่งเดินจูงลูกน้อยพร้อมห้อยกระเป๋าพะรุงพะรังเดินกลางสะพาน แม้มันจะไม่ค่อยมีรถแต่ก็อันตรายเกินไปที่จะมาเดินตรงนี้ แซมกรอกตามองไปรอบตัวหญิงสาว รถคันหนึ่งจอดสนิทมีชายนั่งตรงฝั่งคนขับมองมายังเธอ แซมขมวดคิ้ว นั่นสามีของเธอหรือเปล่า ถ้าใช่อาจจะทะเลาะกันกลางสะพานแล้วปล่อยให้เธอและลูกเดินกลับกันเอง หรือชายคนนั้นอาจไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลย เป็นโจรหวังจะทำร้ายเธอ จะอะไรก็แล้วแต่ก็แย่ไปหมดทุกทาง

ทันใดชายคนนั้นก็เปิดประตูออกมาพร้อมปืน วิ่งตรงมายังแม่ลูกคู่นั้น แซมตอบสนองทันทีบินลงจากยอดเสาลงมาขั้นกลางระหว่างเขาและเธอ เมื่อถึงพื้นเหมือนชายคนนั้นเพิ่งรู้ตัวว่าโดนขัดก็ยิงแซมไปหนึ่งนัด เขาก็รอดมาได้สบายด้วยปีกไวเบรเนี่ยมซับพลัง เสียงปืนดังลั่นสะพานทำให้แม่ลูกรู้ตัวว่ากำลังจะโดนเล่นงาน

“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!” เธอตะโกน

เธอรีบวิ่งจ้ำอ้าวด้วยอะดรีนาลีนที่พุ่งทำให้เธอสามารถถือของพร้อมอุ้มลูกน้อยได้แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ชายคนนั้นเมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรแซมไม่ได้ก็รีบเบี่ยงออกแล้ววิ่งตามเธอพร้อมยิงไล่หลัง แซมพุ่งตามไปติด ๆ มือคว้าคอเสื้อได้ก็ดึงให้ล้มเสียจังหวะ เขาล้มแล้วรีบลุกขึ้นลั่นไกใส่แซมไม่ยั้ง ซึ่งนั่นแทบไม่สะท้านเพราะปีกกันไว้ได้หมด แซมใช้จังหวะที่อีกฝ่ายอึ้งฟาดแขนใส่มือที่ถือปืนจนกระเด็น

“อย่ามาขวาง! แกไม่รู้ว่ากำลังช่วยใคร! อีนั่นสมควรตายแล้ว นั่นลูกชายฉัน! ไม่รู้เรื่องอย่ามาเสือก!”

“คนเป็นพ่อแบบไหนกันจะยิงลูกตัวเอง!”

แซมขมวดคิ้วแน่น หมายความว่ายังไงว่าเธอสมควรตายและนั่นก็ลูกชายของเขา คนเป็นพ่อที่ไหนกันจะกล้าหันปืนไปใส่ลูก ชายคนนั้นง้างมือต่อยแต่ด้วยความสูงที่ต่างกันและแซมเอียงตัวหลบหมัดก็ชกเข้าที่ไหล่อย่างจัง ชายคนนั้นตัวเล็กกว่าแต่แรงก็ใช่ย่อย ถึงจะไม่ทำอะไรแซมได้มากแต่หยุดแซมได้ครู่หนึ่ง

เครื่องยนต์รถกระหึ่มดังก้อง

เสียงรถยนต์ดังขึ้นข้างหลังเขา เพียงเสี้ยววิเดียวที่แซมหันไปก็เจอกับรถคันนั้นที่ชายถือปืนขับพุ่งมาหาแซม ในนั้นจริง ๆ แล้วมีคนอื่นในรถอีกสามคนที่แซมไม่เห็น มันมาด้วยความเร็วที่มากเกินกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดาจะตอบสนองได้ทัน

รถยนต์คันนั้นพุ่งชนแซมอย่างจังโดยที่เขายังไม่ทันได้หุบปีกป้องกั้นตัว ชนแซมแรงขนาดที่กระเด็นไปไกลลอยออกนอกสะพาน รู้ตัวอีกทีก็ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว

 

เจ็บ สิ่งแรกที่รู้สึก

 

ดวงตาเริ่มหรี่มองไม่เห็นอะไรชัดเจน จากนั้นแขนขาก็เหมือนไม่มีความรู้สึก สมองไม่ประมวลผลอะไรอีกแล้ว ปล่อยตัวนิ่งให้หล่นลอยอยู่ใต้สะพาน

 

เสี้ยววิที่กำลังจะตกจากสะพานจมสู่แม่น้ำ มันเหมือนชั่วชีวิตกำลังเริ่มกลับมาฉายซ้ำใหม่ แสงไฟสลัวในฟ้ากลางคืนเริ่มมีรูปร่างคล้ายดินน้ำมันก้อนแรกที่เขาเคยปั้น สะพานกลายเป็นถนนเส้นที่เคยนั่งกลับบ้านจากโรงเรียนตอนประถม พระจันทร์เสี้ยวเหมือนรอยยิ้มของซาร่าห์ตอนที่เธอเพิ่งเกิดมาดูโลกครั้งแรก ความเย็นยะเยือกรอบกายชวนให้คิดถึงตอนไปเยี่ยมบ้านคุณตาในฤดูหนาว เสียงรถยนต์คล้ายตอนที่สอบได้ใบขับขี่ ความคิดถึง อดีตต่าง ๆ แล่นเข้ามาในศีรษะราวเทปย้อนใหม่ที่เล่นด้วยความเร็วแสง ฉายวนซ้ำอยู่แบบนั้นตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้

 

แซมร้องไห้ แม้เพียงไม่กี่วินาทีแต่มันรู้สึกราวกับว่าจะติดอยู่ตรงนี้ตลอดไป ยอมรับชะตาที่จะจมสู่แม่น้ำ

 

มันเป็นแบบนี้ใช่ไหม บัคกี้

ความรู้สึกของคนที่กำลังตกลงมาตาย

 

แล้วแซมก็หลับตา เขาจะได้หยุดรักบัคกี้เสียที

 

ที่เคยชวนไปตกปลาด้วยกัน

คงต้องไว้ชาติหน้า

 

แอ๊ดดด….

เสียงออดดังเป็นรอบที่ร้อยหรือพันแล้วก็ไม่แน่ใจ บัคกี้ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกับเมื่อเช้าในเหตุนิวยอร์กยืนผมฟูอยู่หน้าบ้านแซม ในมือถือช่อดอกไฮยาซินสีม่วงที่เริ่มงอลงแล้วเล็กน้อยตั้งแต่ที่เขาซื้อมาตอนหกโมง บัคกี้กระวนกระวายแม้สีหน้าจะไม่แสดงออก เขาโทรหาแซมตั้งแต่จบเรื่องทุกอย่างตอนห้าโมง รีบไปซื้อดอกไม้แล้วบิดมอเตอร์ไซค์คันโปรดจากนิวยอร์กมาดีซี เขามีลางสังหรณ์ใจว่าแซมต้องรู้สึกอะไรสักอย่างที่ไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ โดยเฉพาะตอนเมื่อจบเรื่องเขาเปิดโทรทัศน์ดูก็พบว่าเขาไม่ได้รับสายแซมเกือบห้าสายในช่วงชุลมุน

เขาไม่รู้ว่าจะสนใจทำไมแต่ก็อยากไปให้ถึงเร็ว ๆ ใจจะขาด ตั้งแต่เคยเห็นหน้ากันบัคกี้ก็ถามตัวเองมาตลอด จะสนใจแซมทำไม แซมจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา จะหวงเรดวิงเหมือนคนบ้าก็เรื่องของแซม จะหน้างอตอนโดนวิ่งแซงก็เรื่องของแซม จะงอนเขาตอนโดนบ่นก็เรื่องของแซม จะหัวเราะตอนเขาลื่นล้มก็เรื่องของแซม จะขนตาสวย ยิ้มหวานก็เรื่องของแซม นายบาร์นส์จะไปอะไรกับนายวิลสันนักหนา

ไม่รู้เว้ย

พอไม่สนใจเดี๋ยวก็จะโพล่มาในฝันอีก

เขาเลยมายืนโง่อยู่ตรงนี้ หน้าประตูบ้าน

บัคกี้หยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้ง ก็ยังไร้สายตอบกลับ เขาโทรไปหาทั้งวาคีนและไอเซอาห์แล้วแต่ทั้งคู่ก็บอกเหมือนกันว่าแซมบินหายไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วหรือยัง

เขาทนไม่ไหวแล้ว มันนานเกินกว่าที่จะรอได้ บัคกี้ถือวิสาสะสะเดาะกลอนประตูเปิดเข้าไป แอบรู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนคงไม่รู้สึกอะไรเลย โดยเฉพาะช่วงที่เขายังเป็นวินเทอร์โซลเยอร์แอบบุกไปหาแซมยามวิกาลบ่อย ๆ เช็คตรวจของดูว่าการตามหาเขาของแซมที่สตีฟไหว้วานคืบหน้าไปไหนแล้วบ้าง จะได้หนีทัน เป็นประสบการณ์ตื่นเต้นไม่รู้ลืม

ภายในปิดไฟสนิท ไม่มีร่องรอยของการใช้ชีวิตเลยในบ้านหลังนี้ เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง ไร้เงาเจ้าของบ้านที่บัคกี้เฝ้ารอมาทั้งคืน บัคกี้เดินไปยังโต๊ะกลางห้องนั่งเล่นแล้ววางดอกไม้

แซมโกรธเขาหรอ

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด

เขาไม่รู้เพราะอะไรแต่เล่นไม่รับสาย แชทก็ไม่อ่าน บ้านก็ไม่อยู่ โทรศัพท์ก็ตามไม่ได้แบบนี้ไม่โกรธก็เกลียดสุด ๆ ไม่ใช่เพราะคงหนีหน้าเขาหรอกใช่ไหม

ใช่ไหม แซม

บัคกี้ถอนหายใจ หมดหนทางในการหาตัวแซมแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนเขาจะตามหาได้ยังไงในเมื่อไม่เหลืออะไรไว้เลย ไม่อยากยอมรับแต่เขาห่วงเกินกว่าที่ตัวเองคิด ว้าวุ่นใจแทบบ้า

‘แซมบินออกไปตั้งแต่บ่ายแล้ว’

จู่ ๆ คำพูดของไอเซอาห์และวาคีนก็ดังขึ้น เขาไม่สังเกตตรงนี้ได้อย่างไร บินออกไปก็แปลว่าเขาสวมชุดกัปตันของตัวเองอยู่ บัคกี้ไม่รอช้ารีบกดโทรเบอร์หาวาคีนโดยด่วน ถึงจะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วแต่ไม่นานนักวาคีนก็รับสาย

“นี่วาคีน ฉันบาร์นส์นะ”

“อ้าวว่าไง แซมเขากลับบ้านแล้วหรือยัง”

บัคกี้ส่ายหน้า ไม่รู้ส่ายให้ใครดู แอบหวังว่าแซมแค่งอนเล่นพิเรนทร์ใช้เรดวิงมาแอบดูเขาอยู่ห่าง ๆ ก็เป็นได้

“ยังเลย รอตั้งแต่เกือบทุ่มจนตอนนี้จะตีสองแล้ว นายบอกว่าเขาออกไปบินใช่ไหม ตามจากสูทเขาได้หรือเปล่าไม่ก็เรดวิง”

“อ้าวเรื่องใหญ่แล้วสิ”

ว่าจบปลายสายก็ลุกจากเตียงรีบไปยังโต๊ะคอมตัวเองก่อนจะง่วนอยู่กับการหาตัวแซม บัคกี้รออย่างใจจดใจจ่อ แค่รอวาคีนไม่กี่นาทีมันช่างนานเหลือเกิน เขาอยากรู้แล้วแซมไปไหน

“เร็วหน่อย” บัคกี้เร่ง

“รีบอยู่”

ชายแขนเหล็กหยุดหายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ เดินวนรอบโต๊ะอยู่ไม่สุขจนมือต้องหาอะไรเบี่ยงความสนใจเผื่อวาคีนจะหาเร็วขึ้น

“ไม่… นี่เรื่องใหญ่แล้ว”

โถ่แม่ง อะไรวะเนี่ย

“มีอะไร เกิดอะไรขึ้น พูดเร็วหน่อย”

“ตามเส้นทางแซมบินเล่นไปเรื่อยทั้งคืน จนเมื่อสักชั่วโมงก่อนเรดวิงรายงานว่าแซมหายใจผิดปกติ โดนรถชนบาดเจ็บสาหัส รถนั่นมาเร็วมากเลยล่ะ ภาพจากเรดวิงคือแซมไปหยุดอยู่บนเสาสะพานข้ามแม่น้ำก่อนจะลงไปช่วยแม่ลูกจากชายถือปืน แล้วรถของชายคนนั้นมีคนขับมาชนสอยแซมร่วงลงสะพานเลย”

 

…แซม

 

บัคกี้ไม่ได้ยินเสียงวาคีนตะโกนเรียก โทรศัพท์ร่วงหล่นพื้นกระแทกกับอะไรก็ช่างมัน ชายผมยาวหยุดนิ่ง ไม่กระพริบตาหรือหายใจ ความกลัวของเขากู่ร้องดังเรียกสติให้หยิบโทรศัพท์แล้วสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ไปยังสะพานที่ว่านั่น

 

ลางสังหรณ์บอกว่ามันสายไปแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ

 

แซมจะตายได้ยังไง

เรายังไม่ได้ไปตกปลาด้วยกันเลย

Chapter 2: ตื่น

Notes:

ณ ปัจจุบัน(16/7/2025)แต่งเสร็จไปแล้ว3ตอน หลังจากนึ้จะลงพร้อมๆกับใน ReadAWrite เลยนะคะ

Chapter Text

ซามูเอล โทมัส วิลสัน แซมคนธรรมดา

ใช่ไหม

 

“อืม… เหอ เออ ที่นี่ที่ไหน อ่าา ใช่ ฉันแซม”

 

ชีวิตนี้ได้ทำเต็มที่แล้วหรือยัง

 

“ก็ไม่ได้เต็มที่ตลอดเวลาหรอก แต่พอเป็นกัปตันภาระมันมากขึ้นก็พยายามมากกว่าเดิมเรื่อย ๆ อยู่… ล่ะมั้ง”

 

เสียใจหรือเปล่า

 

“ตอบแบบไม่ตอแหลก็โคตร ๆ เลยว่ะ เพิ่งจะได้เป็นกัปตันแต่มาตายโหงเพราะรถชนตกสะพานทั้ง ๆ ที่มีปีกไวเบรเนี่ยมกับสูทขั้นเทพอะนะ โคตรทุเรศ”

“ยังมีหลายอย่างที่อยากทำ มีใครหลายคนให้รักอยู่ มีเป้าหมายที่อยากสานต่อ ฉันไม่อยากตายไปพร้อมกับความรู้สึกเสียดาย แต่เลือกได้ที่ไหนกันล่ะ แม่งโคตรเสียใจเลย ฉันเสียดาย เสียดายสุด ๆ ถึงฉันจะไม่ดีพอสำหรับใครแต่ความตั้งใจของฉันมันยังส่งไปไม่ถึงผู้คน”

“เห้อ… ฉันยังไม่ได้บอกบัคกี้เลยว่าเขามีความหมายกับฉันขนาดไหน แต่บางทีการไม่ได้บอกก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันไม่เสียดาย ไม่อยากตายไปกับความจริงที่จะตามหลอกฉันแม้กระทั่งในโรงศพ ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลย เขามาแล้วก็ไป เหมือนใช้ฉันเสร็จแล้วก็ทิ้ง ต่อให้เขาไม่ได้คิดแบบนั้นแต่ฉันก็อยู่ไม่ได้หรอก ฉันแค่อยากดีพอให้เขาอยู่นานกว่านี้ แต่เหมือนมันก็ตอกย้ำความจริงทุกครั้งว่าไม่ ฉันไม่กล้าขอด้วยซ้ำ กลัวมันจะทำให้เขาหนีไปแล้วฉันก็ต้องไล่ตามอีกครั้ง”

 

มีคำสุดท้ายจะสั่งเสียไหม

 

“ไม่รู้… ไม่… ไม่มี ฉันจะไม่มีวันพูดคำสั่งเสียสุดท้าย ฉันไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก วันนั้นจะมาถึงก็ต่อเมื่อฉันพร้อมไปแล้วเท่านั้น ฉันต้องไม่ตายเพราะแค่นี้สิ มันเป็นไปได้ยังไงเล่า สูทฉันก็มี ปีกก็ไวเบรเนี่ยม เรดวิงก็ตามติดตลอด ตีบวกมาขนาดนี้ตายง่อยก็ประหลาดไปหน่อยมั้ง ฉันไม่ยอมหรอก ฉันยังไม่ได้ไปกู้โลกให้สมกับที่เป็นกัปตันอเมริกาเลย ได้โปรด ความตายอย่ารั้งฉันได้ไหม”

 

งั้นหรอ

 

“เออดิวะ เดี๋ยว ฉันคุยกับใครเนี่ย”

 

งั้นก็ออกไปใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มสะ

 

“อะไรนะ อย่าบอกนะฉันตายแล้วเกิดใหม่น่ะ ฉันจะทะลุมิติมาเกิดใหม่หรอ ไม่เอานะไม่อยากเรียนคณิตอีกรอบแล้ว”

 

หมดเวลานอนแล้ว แซมวิลสัน จงตื่น

 

เฮือก!

แซมสะดุ้งตื่นเบิกตาโพลง ความรู้สึกก่อนหลับไปยังไม่จางหาย เขายังตกจากที่สูงอยู่ แซมสบัดศีรษะเรียกสติให้กลับมาก่อนรูม่านตาจะกลับมาโฟกัสดังเดิม ภาพสุดท้ายที่เห็นคือท้องฟ้าดีซีและสะพาน แต่ตอนนี้เขากลับมองไม่เห็นสะพาน และจากระยะเวลาที่เขาตกมามันควรจะจมน้ำได้แล้ว สะพานกับแม่น้ำก็ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้นเสียหน่อย

นี่สินะ เสี้ยววิที่เหมือนตลอดไป

ความตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง

 

แล้วเครื่องบินขนาดใหญ่ก็บินผ่านแซมไป เสียงแหวกอากาศแทบทำแก้วหูแตก

 

เดี๋ยว

ใช่หรอวะ

 

ไม่ใช่แล้วโว้ย!

พอตั้งสติได้อีกครั้งเขาก็รู้ตัวว่ากำลังตกด้วยความเร็วที่มากผิดปกติ ระยะทางที่เขาตกมันมากกว่าสะพานและแม่น้ำไปแล้ว ไม่มีที่ไหนบนโลกนอกจากความสูงเครื่องบินกระโดดร่มที่จะสูงได้ขนาดนี้ ร่างกายแหวกกลางลมแรงจนหูอื้อ แซมรีบหันหลังไปมองเบื้องล่างที่เขากำลังจะตกลงไปแล้วก็ต้องช็อคสติหลุด ข้างล่างนั่นคือเมืองที่สว่างไสวเจิดจ้าท่ามกลางฟ้ามืด ไฟทุกดวงแย่งกันฉายแสงเหลืองทองอร่ามตระการตา ไม่ใช่แม่น้ำอย่างที่แซมคิด

‘นี่ฝันหรอวะ’

ทุกอย่างเหมือนฝันแต่ก็เกินจริงจนสัมผัสได้ทุกอณู แซมหลับตาหายใจเข้าออกช้า ๆ พยายามไม่ใหัตัวเองสติแตกไปสะก่อน แม้เขาจะร่อนจากที่สูงนับครั้งไม่ถ้วนแต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป

แซมปล่อยตัวให้ตกลงมาก่อนจะถึงความสูงที่พอดีถึงจะกางปีกออกยกตัวเองขึ้นไม่ให้ชนตึกสูงกลางนครนิวยอร์กอย่างเฉียดฉิว บินร่อนตัวเองหลบซ้ายหลบขวา มีบ้างที่ปีกของเขาขูดตึกเป็นรอย แซมรีบบินหาที่ซ่อน เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจว่ากัปตันอเมริกาทำไมจู่ ๆ ถึงหล่นมาจากฟ้าบินเล่นบนเหนือเมืองนิวยอร์ก ชายหนุ่มรีบร่อนตัวเองลงในซอกอาคารหนึ่ง จนเมื่อตกถึงพื้นสำเร็จปีกไวเบรเนี่ยมก็หุบกลับเข้าไป

ในซอยเล็กแคบมุมอับของเมืองใหญ่นั้นมืดสนิท มีถังขยะข้างตึกสามถังใหญ่อยู่ห่างกันตามแต่ละตึกของตัวเอง พื้นเปียกชื้น ป้ายประกาศปลิวว่อน ลายกราฟิตี้ชื่อแก๊งค์ต่าง ๆ ที่ไม่มีใครคิดจะสนใจ นี่แหละที่ที่เหมาะที่สุดกับการซ่อนตัวและคิดทบทวนเรื่องราว

แต่ก็ไม่ทันได้คิดอะไรแซมก็ล้มลงพื้นทันทีเมื่อไม่มีแรงดันช่วยจากเครื่องยนต์ ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาบดขยี้ทั่วทั้งร่างกาย เขาอยากหลับสะตอนนี้แต่ก็ต้องยื้อตัวเองไม่ให้ปิดตา แซมต้องไปหาหมอก่อนไม่งั้นเขาตายตรงนี้แน่นอน แต่ทุกอย่างก็หนักเสียเหลือเกิน เขาหายใจสั้นลง ศีรษะปวดหนึบคล้ายถูกหินนับสิบปาใส่ แขนขาไร้เรี่ยวแรงจะแค่ยืนก็ทำไม่ได้ แซมไม่ไหวแล้ว เขาอยากนอน จะเกิดอะไรก็ช่างแม่ง คนมันเจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว

“โคตรแย่… บัดซบฉิบ”

เขาเอียงตัวล้มลงนอนข้างมุมตึก ผ่อนลมหายใจลง พยายามไม่ร้องครวญครางให้ใครได้ยิน แซมรู้สึกจมูกไวขึ้นเป็นพิเศษ เขาได้กลิ่นทุกอย่างจากถังขยะที่ห่างออกไป กลิ่นดิน น้ำ ควันรถ แม้แต่กลิ่นของผู้คนที่ไม่มีใครเหมือนกันเลย แซมรู้สึกร่างกายร้อนผิดปกติ เขาพยายามดึงคอเสื้อตัวเองระบายเหงื่อออกแต่ก็ยังไม่เป็นผล รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอยากจะถอดเสื้อทิ้งไปให้หมด โชคดีที่เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรพิเรนทร์ ๆ ได้

แซมได้ยินเสียงคนวิ่ง เท้าหลายคู่เลยด้วยซ้ำ วิ่งตรงมาจากอีกซอยก่อนจะเลี้ยวมาทางที่เขานอนสลบอยู่ เหมือนคนกำลังโดนไล่ล่า เขาก็อยากช่วยแต่ต้องประเมินสถานการณ์ก่อนไม่งั้นเขาจะได้ตายจริงก็แบบนี้ แซมกรอกตาช้า ๆ มองไปยังต้นเสียงที่กำลังวิ่งเอาเป็นเอาตาย แล้วก็ต้องตาเบิกโพลงตกใจกับสิ่งที่เห็น

แซมเห็นตัวเองกำลังวิ่งหนีคนกลุ่มหนึ่ง

แล้วสมองก็เหมือนประทัดความทรงจำระเบิดออก เขาจำได้ทันทีว่าเขาเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายกันนี้มาแล้ว อะดรีนาลีนทำให้แซมลืมความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงจนทำให้ตัวเองอีกคนสังเห็นเห็นได้ว่ามีคนกำลังยืนอยู่ในซอย

“อะไรวะนั่น!”

แซมอีกคนสบถเสียงดัง เขาพูดกับตัวเองแต่ก็พูดดังพอให้คนอื่นได้ยินไปด้วย เหมือนเขาสติหลุดตกใจจนไม่รู้จะทำยังไงขาเลยหยุดไปสะดื้อ ๆ

แซมที่สวมชุดกัปตันอเมริกาและแซมอีกคนที่ใส่เสื้อฟอลคอนที่ไม่มีเครื่องยนต์ปีกติดหลังมองหน้ากันอย่างงงงวย เกิดอะไรขึ้นทำไมมีแซมอีกคนมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง ร่างเดียวกันมองทะลุถึงความสับสนผ่านนัยน์ตานิลที่ฉายให้เห็นเพียงครู่หนึ่ง รับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือตัวเองอีกคนมิใช่คนหน้าคล้าย

“นายเป็นใคร!”

ทั้งสองพูดพร้อมกัน

“แล้วนั่นชุดบ้าอะไร!”

แซมเสื้อฟอลคอนชี้มาที่ตัวเขา แซมยังใส่ชุดเดิมอยู่และมันก็ชัดเจนว่าเขาใส่ชุดเป็นใครแม้ตัวเขาจะไม่ได้เอาโล่มาก็ตาม แซมเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี แต่เขารู้ว่าแซมอีกคนใส่ชุดอะไร ชุดฟอลคอนแรก ๆ ที่ยังไม่พังก่อนจะโดนดีดนิ้ว เมื่อแซมอีกคนเห็นว่าเขาไม่ตอบก็เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดแต่ก็เว้นระยะห่างไว้ไกลพอสมควร เขาดมอะไรสักอย่างก่อนจะยู่หน้าสงสัย

“ทำไมนายกลิ่นเหมือนฉันแต่ว่า… แปลกกว่า กลิ่นคุ้น ๆ ฉันจำได้…”

กลิ่น?

แซมอีกคนพูดเบาลงงึมงำกับตัวเอง แซมเบ้หน้าเข้าไม่ใจ นี่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย

“ฉัน- ฉันไม่รู้อะไรเลย นายพูดถึงเรื่องอะไร”

แซมชุดฟอลคอนเอียงคอขมวดคิ้ว ทั้งคู่ไม่เข้าใจกันและกันเลย แซมมองคนตรงหน้า ดูอ่อนเยาว์กว่าเขาตอนนี้เล็กน้อย ชุดฟอลคอนสีดำแดง สภาพรุงรังอาบเหงื่อท่วมตัว ซึ่งตัวเขาเองก็สภาพไม่ต่างกันเพียงแค่อยู่ในชุดกัปตัน แซมนึกถึงคำพูดของสก็อต แต่ก็ไม่อยากฟันธงทันที

เสียงฝีเท้าเร่งของกลุ่มคนมุ่งหน้ามายังที่ที่ทั้งสองแซมยืนอยู่ กัปตันอเมริกาคนใหม่เบิกตาโพลง เขารู้จักคนพวกนั้น เขารู้จักซอยนี้ รู้ด้วยว่าตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเลือกวิ่งไปทางไหน

นี่คือเหตุการณ์ที่แซมเคยวิ่งหนีสายลับไฮดร้าระหว่างการกลับไปบ้านหาซาร่าห์ที่หลุยเซียน่า แซมกำลังมารีรันภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกรอบ

“คิดว่าจะหนีพ้นหรอ กลิ่นแกตามง่ายขนาดนี้”

กลิ่น? กลิ่นอีกแล้ว?

แซมชุดกัปตันยังไม่ทันได้สงสัยอะไรต่อ แซมอีกคนกำลังจะวิ่งสวนเขาไปแต่ก็โดนพวกไฮดร้าลั่นไกปืนมาทางพวกเขาโดนขาแซมชุดฟอลคอนก่อนที่เขาจะล้มลงแล้วพวกไฮดร้าฟาดเข้าท้ายทอยจนสลบทันที แซมพุ่งมาถีบพวกสายลับออกแม้จะไม่ทันแต่ก็เร็วพอไม่ให้พวกนั้นยกร่างแซมที่สลบไปได้ ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเขายกตัวเองอีกคนขึ้นพาดบ่า

‘ตายห่า จะทำยังไงดีเนี่ย’ แซมกระวนกระวาย

แสงสีส้มวงกลมแบบที่เคยเห็นจากด็อกเตอร์สเตรนจ์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างผ้าคลุมสีเหลืองจะทำการสบัดมือร่ายรำท่าทางสอยพวกสายลับไฮดร้าร่วงไปทีละคน แซมที่ยืนอึ้งอุ้มร่างตัวเองอีกคนอยู่ก็ถอยหลังทีละก้าว รอดูว่าคนตรงหน้าที่เพิ่งเก็บหมดยกจะมีท่าทีร้ายกับเขาหรือไม่ เขาจะได้บินหนีทัน

คนในชุดสีเหลืองถอดผ้าคลุมศีรษะออก เป็นหญิงผมล้านคนหนึ่งจ้องมายังแซม เธอไม่ได้ก้าวเข้ามาหาเขาเลยสักนิดและดูเหมือนเธอเปิดประตูมิติรอเขาอยู่

“สวัสดีคุณวิลสัน ดูท่าอนาคตคงได้เป็นกัปตันอเมริกาแล้วล่ะสิ ดีใจด้วย”

แซมขมวดคิ้ว

“เดี๋ยวคุณรู้ได้ไง อนาคต? อย่าบอกนะว่านี่คืออดีตหรอ ผม- ผมย้อนอดีต? นี่คือปีอะไรกันแน่ แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง-”

หญิงชุดคลุมยกมือห้ามคำถามอีกเป็นร้อยของแซมไว้ก่อนจะมากไปกว่านี้ เธอผายมือไปยังประตูมิติที่เปิดไว้

“เราต้องไปคุยกันที่แซงค์ทัม ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

ว่าจบเธอก็เดินเข้าประตูมิติ แซมแม้ไม่ได้อยากจะไว้ใจใครนักแต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว อะดรีนาลีนที่เริ่มจางทำให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงลดลง เขาเริ่มอุ้มตัวเองอีกคนไม่ไหว อาการบาดเจ็บจากรถชนและร่างกายที่ร้อนขึ้นผิดปกติทำให้เร่งลดแรงของเขาไปอีก แซมเดินตามเข้าไปด้วยอาการไม่สู้ดีนัก เธอสังเกตเห็นว่าเขาเดินช้า เธอตวัดมือยกแซมที่สลบขึ้นก่อนร่างนั้นจะลอยตามเธอไป

แซมไม่มีทางเลือก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมากจนเขาตามแทบไม่ทัน แต่ตอนนี้ก็ต้องตามน้ำไปก่อน ดีกว่าหลงทางตัวคนเดียว

 

เมื่อเข้าประตูมาแล้วก็พบกับภายในของอาคารสามชั้นที่มีบันไดใหญ่จากชั้นลอยทั้งสองข้างมาประกบกัน สถาปัตยกรรมที่รู้ได้เลยว่าแตกต่างจากอาคารอื่น ๆ ในนิวยอร์กเหมือนหลุดมาจากหนังประวัติศาสตร์ อากาศเย็นชื้นสวนทางกับร่างกายร้อนระอุ แซมเหมือนจะเป็นไข้เข้าไปทุกที ภายในไม่มีร่องรอยการใช้ชีวิตของคนอื่น เดาว่าเธอคงอยู่คนเดียว

“คุณ…”

“แอนเชี่ยนวัน”

โอเค… แปลก…

“นี่ปีอะไรแล้ว”

“2015”

สิบสองปีที่แล้ว ก่อนเหตุที่สนามบินเยอรมันหนึ่งปี

“วิลสัน การมาของคุณทำให้จักรวาลมีความเสี่ยง คุณทำให้คุณเองในจักรวาลนี้หมดสติไปก่อนช่วงเวลาสำคัญซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น”

แซมไม่เข้าใจ เขาไม่มีอะไรเกี่ยวกับจักรวาลในระบบความรู้เลยนอกจากที่สก็อตบอก แอนเชี่ยนวันก็รู้ว่าคนตรงหน้าเธอไม่รู้เรื่องด้วย

“เอางี้ คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับจักรวาลและเวลา”

“ผม- ผมไม่รู้ เอาตรง ๆ ถือว่ารู้ไหมก็ไม่แน่ใจ ผมเพิ่งรู้วันนี้เลยด้วยซ้ำ ในอนาคต เอ่อ ซึ่งไม่ใช่อนาคตผม อนาคตคุณ พวกเขาสร้างเครื่องข้ามเวลา ซึ่งที่สก็อตบอกคือพวกเขาไม่ได้ข้ามเวลาแต่ไปอีกจักรวาลที่เวลาไม่ได้เท่าจักรวาลนี้ การย้อนเวลาแบบในหนังมันทำไม่ได้ ก็…ผมก็รู้แค่นี้แหละ”

แอนเชี่ยนวันพยักหน้า

“ฉันจะอธิบายกฎของจักรวาลให้ฟัง ที่สก็อตบอกมานั้นถูก เราไม่สามารถย้อนเวลาไปอดีตได้แบบนั้น จักรวาลแต่ละเส้นมีเส้นเวลาเป็นของตัวเอง แต่ที่มีเหมือนกันคือจุดสัมบูรณ์เวลาและแคนน่อนอีเวนต์ จุดสัมบูรณ์เวลาคือสิ่งที่ต้องเจอ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพยายามหนีจักรวาลก็จะหาทางให้มันเกิด มันต้องเกิดเพื่อรักษาการคงอยู่ของเวลา อย่างด็อกเตอร์สเตรนจ์ต้องเสียคนรักเพื่อศึกษาไสยเวทย์แล้วเป็นจอมเวทย์สูงสุด”

“คุณรู้จักด็อกเตอร์สเตรนจ์ได้ไง”

“ฉันรู้ด้วยซ้ำว่าคุณเพิ่งงอนเจมส์บาร์นส์มา”

แซมเบิกตากว้าง แม่มดมันน่ากลัวจริง ๆ ถึงว่าใครต่อใครก็หวั่นกลัววานด้า

“แคนน่อนอีเวนต์คือสิ่งที่ต้องเกิด แต่สามารถแก้ไขได้ และในเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ถ้าแก้ไขมันจะเกิดเป็นเน็กซัสอีเวนต์”

“การข้ามจักรวาลไปมาเกิดหายนะได้ นับตั้งแต่แตกแขนงเส้นเวลาใหม่เมื่อเหตุการณ์สำคัญถูกเปลี่ยน การข้ามจักรวาลไปมีตัวตนในอีกที่หนึ่งในระยะเวลาที่นานพอจะทำให้ทุกอย่างไม่คงที่ ทำให้เกิดอินเคอร์ชั่น ซึ่งคือการชนกันของสองจักรวาลหรือมากกว่านั้น การมีอยู่ของตัวตนเดียวกันในจักรวาลเดียวหรือใช้คาถาเวทย์ทรงพลังสามารถนำไปสู่การชนกันได้ และอย่างเลวร้ายที่สุดคือจักรวาลไร้ซึ่งอดีต ปัจจุบันและอนาคต มันจะล่มสลายไปทันทีเป็นสปาเกตตี”

แซมตั้งใจฟัง พยายามทำความเข้าใจตามให้ได้มากที่สุดแม้จะตามไม่ค่อยทันก็ตาม เขายังไม่เปิดรับอะไรทั้งนั้นเพราะยังตกใจไม่หายตั้งแต่หล่นมาจากฟ้า

“การที่คุณอีกคนโดนยิงทำให้การไปออกตามหาวินเทอร์โซลเยอร์ช้าลง ทำให้เจอเขาช้า เหตุการณ์สู้กันที่สนามบินเยอรมันจะเปลี่ยนไป ไม่มีนายคนนั้น ไม่มีซีวิลวอร์ เราอยู่บนเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์และการเปลี่ยนแปลงแคนน่อนอีเว้นท์ซึ่งก็คือเหตุการณ์ซีวิลวอร์ มันจะเกิดเน็กซัสอีเวนต์”

“ที่เลวร้ายกว่าคือการที่คุณมายืนอยู่ตรงนี้”

“ผม- ผมไม่ได้ตั้งใจ… มันคืออุบัติเหตุ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโพล่มาที่นี่ได้ไง”

เขาคอแห้ง ไม่รู้จะพูดอะไรดี แซมไม่ได้ตั้งใจจะข้ามจักรวาลเลยด้วยซ้ำ เขาควรตายในแม่น้ำนั่นตั้งแต่แรก ไม่รู้เป็นเพราะฟ้าแกล้งหรือคำขอเขานั้นเป็นจริง คนดลบันดาลคงสะใจไม่น้อย ยินดีด้วยนะไอ้เวร แซมหงุดหงิดต่ออะไรก็ตามที่แกล้งเขา รวมถึงตัวเองที่ไปภาวนาอย่างแรงกล้าก่อนตาย

“ตัวตนเดียวในจักรวาลเดียวจะทำให้เกิดอินเคอร์ชั่น ยิ่งแล้วใหญ่คุณทำตัวเองสลบอาการสาหัสขัดขวางการดำเนินของจักรวาล”

อะไรก็ไม่รู้แต่ฉิบหายแน่นอน รู้งี้ตายดีกว่า

แซมกุมมือเม้มปากแน่น นี่มันแย่กว่าที่เขาคิด การเริ่มต้นของความโกลาหลนี้เกิดจากเขายืนดูตัวเองหนีไฮดร้า จบที่ตัวเองอีกคนโดนไฮดร้าเล่นงานจนสาหัส

‘น่าจะดูเงียบ ๆ ไม่น่าลุกเลย’

หนุ่มกัปตันไม่ได้อยากทำลายจักรวาลของใคร เขาแค่อยากมีชีวิตรอด

“แล้ว… เราต้องทำยังไง ผมต้องกลับจักรวาลผมงั้นหรอ คุณส่งผมไปได้ไหม เน็กซัสอีเวนต์ที่ว่าเกิดแล้วมันจะเป็นอะไร”

“มันจะไม่เป็นอะไรแต่ใครบางคนจะเข้ามา… ก็คืออันตรายนั่นแหละ ฉันส่งคุณกลับได้แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

แอนเชี่ยนวันตรวจสอบดูอาการของแซมอีกคนที่นอนหายใจโรยริน เขาซีดลงไปเยอะ แอนเชี่ยนวันหันไปหาใครอีกคนที่มาตอนไหนแซมเองก็ไม่รู้ รับเอาร่างแซมอีกคนไปส่งให้มือหมอต่อ เธอหันมาหาแซมที่มองเธอด้วยความตึงเครียด เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาทำตัวเองอีกคนบาดเจ็บ ไม่พอมีความเสี่ยงที่จักรวาลจะล่มสลายอีก

คนที่ไม่มีพลังอย่างเขาจะช่วยจักรวาลนี้ได้จริง ๆ หรอ

แอนเชี่ยวันเม้มปากไปอีกคน เธอเงียบไปนานจนแซมเริ่มใจห่อเหี่ยวตาม แม้แต่นักเวทย์สูงสุดของโลก ณ ขณะนี้ยังเครียด เขาที่ช่วยโลกด้วยหมัดและกำลังมันจะไปทำอะไรได้ แซมรู้สึกผิด เขากำลังทำจักรวาลนี้มีภัย เหตุก็เกิดเพราะเขาเต็ม ๆ จะไม่ให้เขาโทษตัวเองได้อย่างไร

แซมมองตัวเองอีกคนที่ไกลออกไป เขาจะรู้ตัวไหมนะว่าอนาคตตัวเองจะเป็นแบบนี้ หรือบางทีก็ไม่ต่างกันเลยเพียงแค่ถือโล่ ยังคงเป็นแซมคนเดิมที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ

“คุณต้องมาแทนที่แซมคนนี้ในช่วงที่เขายังไม่ฟื้น ไม่งั้นจะเกิดเน็กซัสอีเวนต์ได้ แต่… ถ้าคุณมาแทนที่เขายิ่งตอนเข้าใกล้แคนน่อนอีเวนต์แบบนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะล่มสลายได้เลยซึ่งแย่เหมือนกัน พูดตรง ๆ เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรักษาแซมคนนี้ให้หายเป็นปกติให้เร็วที่สุด”

เธอเริ่มพูดเบาจนเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับแซม

“มันก็แค่เข้าใกล้ไม่ใช่หรอ ถ้าตอนเขาใกล้ฟื้นผมก็วางแผนให้เขาเจอบัคกี้ให้เร็วที่สุดได้นี่เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าต้องหาบัคกี้ที่ไหน ไม่ต้องเสียเวลาตามหาเพราะผมปลอมตัวหาไว้ให้แล้ว ช่วงนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากตามหาเขา ถ้าผมคือฟันเฟืองในการเอาบัคกี้มาล่อให้เกิดซีวิลวอร์ ถ้างั้นหน้าที่ผมในเหตุการณ์นี้ก็คือคนหาตัวต้นเหตุ แค่หาเขาให้เจอนี่ ไม่ได้หนักหนาอะไร”

“ที่สำคัญคือคุณจะเข้ามาประสบเหตุแคนน่อนอีเวนต์แทนเจ้าของเรื่องไม่ได้ การเจอเขาคือการจุดฉนวนเหตุ ดังนั้น ถ้าเราจะให้คุณแฝงตัวเป็นตัวเอง ต้องไม่เข้าใกล้วินเทอร์โซลเยอร์ ต้องให้คนที่จับเขาได้คือคุณอีกคน ไม่งั้นเขาจะหนีไปไกลอีกและนั่นจะแตกเส้นเรื่องออก”

แซมจำได้ดีว่าเขาบัคกี้ที่ไหนบ้าง ถ้าเขาทำหลักฐานทิ้งไว้ให้แซมอีกคนตามเรื่องเอาเองน่าจะพอช่วยเร่งแซมให้หาบัคกี้เจอได้ โดยเฉพาะการจับได้จัง ๆ ที่โกดังร้างนั่นพร้อมสตีฟ

แซมนั่งลง ร่างกายร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนไร้เรี่ยวแรงไปทุกขณะ ขาดปาดเหงื่อตัวเองพลางสำรวจแผล มันไม่ได้หนักอย่างที่คิด ด้วยอะไรหลายอย่างทำให้แซมเหนื่อยกว่าที่ควรจะเป็น

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับวินเทอร์โซลเยอร์คนนั้นบ้าง”

‘ว้าว นั่นสิฉันรู้อะไรบ้าง’

แซมรู้สึกว่าเขารู้จักบัคกี้ดี แต่ในอีกทางหนึ่งก็แทบเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน แซมไหวไหล่ เขารู้ แต่ไม่รู้ว่าที่รู้นั่นมากน้อยแค่ไหน แซมอาจจะคิดมากไปเองอีกแล้ว

“ก็รู้แหละ…”

แอนเชี่ยนวันเลิกคิ้วมองแซมที่ทำหน้าหงอย เธอไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ไหมแต่นั่นชัดเจนเอามาก ๆ แม้แต่แอนเชี่ยนวันยังเม้มปากหนักใจกับความสัมพันธ์พวกเขา

“โอเค ฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องความรู้สึกเบื้องลึก แบบว่าสถานภาพของเขาในตอนนั้นน่ะ คุณรู้ไหม”

“อ้อ… เขายังไม่ได้ล้างคำที่สะกดจิต กำลังรื้อฟื้นความทรงจำช่วงก่อนโดนไฮดร้าจับไป ความทรงจำก็หลง ๆ ลืม ๆ แบบว่าไม่ใช่แค่จำอดีตไม่ได้ บางทีเขาก็ไม่เป็นตัวเองบ่อย ๆ จำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ไม่มากเท่าไหร่ แบบว่านอกจากจำอะไรไม่ได้ก็ลืมง่ายด้วยน่ะ ก่อนเป็นวินเทอร์โซลเยอร์ครั้งสุดท้าย เขาจำช่วงหนีกบดานไม่ได้ด้วยซ้ำก่อนที่ผมกับสตีฟจะเจอเขา”

แอนเชี่ยนวันพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว เธอเหมือนนึกอะไรอยู่

“แน่ใจนะว่าเขาจำไม่ได้”

“ก็คิดว่าแบบนั้น”

“ถ้างั้น การที่คนในจักรวาลเดียวกันรับรู้เหตุการณ์ไม่สอดคล้องกันเพราะมีคนอื่นมาแทรกถึงจะเล็กน้อยก็สร้างผลกระทบได้มาก ถ้าวินเทอร์โซลเยอร์รับรู้ถึงคุณแต่คุณอีกคนไม่รู้เรื่องด้วยความจริงก็จะไม่สัมพันธ์กัน ทำให้การดำเนินของจักรวาลมีจุดสะดุดและจะลามจนล่มได้ แต่ ถ้าแบบนั้นการใช้แผนให้คุณปลอมเป็นตัวเองก็ยังพอใช้ได้เพราะความทรงจำหลง ๆ ลืม ๆ ของวินเทอร์โซลเยอร์จะลบการมีอยู่และการกระทำของคุณที่ส่งผลต่อจักรวาลนี้ออกไปได้”

“แบบว่าช่องโหว่ของเวลา ถ้าคนนอกเข้ามายุ่งกับอะไรสักอย่างที่มันใกล้ถึงจุดลบหายของมัน การกระทำของคนนอกจะไม่ส่งผลอะไรเพราะถูกทำลายไปด้วยแล้ว อย่างเช่น คุณไปอยู่บนเกาะที่กำลังจะเกิดหายนะอย่างสึนามิ การกระทำที่ส่งผลของคุณจะถูกลบไปพร้อมสึนามิ ซึ่งในสถานการณ์นี้ ความทรงจำของวินเทอร์โซลเยอร์คือสึนามิ”

“ซึ่งแปลว่า…?”

“ถ้าเขาทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากที่เคยทำ คุณต้องทำให้แน่ใจว่าเจมส์บาร์นส์ลืมคุณและหนีห่าง”

แซมส่ายหน้า วิธีเดียวที่เขานึกออกคือทุบศีรษะบัคกี้จนน่วม ซึ่งไม่มีวันเพราะบัคกี้ที่ว่าคือซุปเปอร์โซลเยอร์ ยิ่งแล้วใหญ่ในช่วงเป็นวินเทอร์โซลเยอร์อยู่ด้วย คนที่น่วมน่าจะเป็นแซมสะเอง

“ทำไมล่ะ ในเมื่อคนอื่นก็จะจำผมได้อยู่ดี อย่างสตีฟ?”

“กัปตันคนก่อนเขารู้จักคุณอยู่แล้ว การคุยด้วยกันตามปกติไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษอะไร แค่อย่าทำให้ใครสงสัย”

“สรุปก็คือที่คุณต้องทำคือปลอมตัวเป็นตัวเอง ทำตัวตามปกติทุกอย่าง ให้เนื้อเรื่องมันเดินต่อแทนแซมคนนี้แค่ชั่วคราว แต่คุณห้ามให้บาร์นส์เป็นคนเจอคุณ ถ้าเขาพยายามจำคุณขึ้นมาคุณต้องรีบลบความทรงจำเขาเพราะเขาไม่ควรจำคุณได้”

“ทำไมคุณพูดเหมือนบัคกี้จะทำอะไรนอกลู่ ถ้าผมทำตัวปกติทุกอย่างบัคกี้ก็ควรยังอยู่ในกรอบเหมือนกันไม่ใช่หรอ”

หญิงอายุเกือบพันปีมองมาที่แซม ก่อนจะทำท่าทางมือกดจุดตามร่างกายของเขา แซมไม่เข้าใจว่าร่างกายเขาเกี่ยวอะไรด้วยแต่ก็ทำให้เขานึกได้ว่าตัวเองบาดเจ็บจากการโดนรถชนอยู่ แม้จะไม่มากมายนักเพราะมีชุดช่วยไว้หากแต่ก็อ่อนแอลงมาก เขาทั้งร้อนและหนาว ศีรษะปวดหนึบ แซมอยากพักผ่อนเต็มที แอนเชี่ยนวันยกข้อมือทั้งสองข้างของแซมขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะอ้อมไปด้านหลังแซมถือวิสาสะดึงคอเสื้อท้ายทอยให้หลวมออก แซมสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรถึงจะอยากต่อต้าน คิดว่าเธอคงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ หญิงชราขมวดคิ้ว ไม่เจอร่องรอยอะไรที่เธอตามหา

“ขอโทษที่ต้องถามแบบนี้คุณวิลสัน มีใครเคยกัดคุณระหว่างขาบ้างหรือเปล่า”

ห้ะ

ตาแซมแทบจะถลนออกจากเบ้า เขาส่ายหน้าแม้จะไม่อยากตอบอะไรเลยก็ตาม แซมเริ่มมีความคิดในหัว หรือทุกอย่างนี้กำลังมีคนแกล้งเขาเล่น พูดอะไรเพ้อเจ้อมาตั้งนานเจอคำถามแบบนี้เข้าไปเขาก็ไม่อยากจะเล่นด้วยต่อแล้ว

“ทำไมถามแบบนี้ โคตรแปลกเลย”

“กลิ่นคุณเหมือนกับแซมโลกนี้แต่ว่าคุณมีกลิ่นของอัลฟ่าคนอื่นปนมาด้วย เหมือนว่าคุณใกล้จะมีคู่แล้ว แต่ฉันแค่สงสัยว่าทำไมไม่มีร่องรอยอะไรเลย ที่ฉันต้องถามเพราะกลิ่นไม่เหมือนกันเพียงนิดเดียวก็สามารถแยกตัวตนได้ และเขาจะรู้ว่าคุณไม่ใช่แซมคนเดิม คุณเหมือนคุณอีกคนก็จริง แต่มีของคนอื่นผสมด้วย และฉันเกรงว่ามันจะไปสะกิดใจใครเข้า”

ห้ะ

อัลฟ่าอะไร อัลฟ่าคืออะไร

แซมขมวดคิ้วแน่นมากจนแอนเชี่ยนวันเผลอขมวดคิ้วตามเขา แซมไม่เข้าใจ ในตอนแรกก็พูดเหมือนมีสาระแต่ตอนนี้กลับพูดถึงเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ค่อนไปทางน่าหวาดระแวง เธอมองหน้าคนที่กำลังตั้งคำถามในตัวเธออยู่ เขาดูไม่รู้เรื่องอะไรเลย และมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องรู้

“เพศรองคุณคือเพศอะไร”

“ไม่รู้ หมายความว่ายังไง เป็นเกย์ไหมงี้หรอ ใช่”

ทั้งคู่มองหน้ากัน ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง หญิงชราสูดลมหายใจเอากลิ่นของชายตรงหน้าเธอ แซมก็ยิ่งทำหน้าเหยเก เธอเองก็รู้สึกแปลกแต่มันจำเป็นต้องทำ จนเธอนึกขึ้นได้ว่าโลกนี้มีกฏหนึ่งที่ต่างจากโลกของแซม

“ขอโทษด้วยถ้ามันดูอนาจาร มันจำเป็นจริง ๆ โอเคฉันรู้แล้วคุณเป็นอะไร ไม่นึกว่ากฎของที่นี่จะทำคุณเปลี่ยนไปด้วย”

มาเลย อะไรแปลก ๆ มาให้หมด พร้อมแล้ว

“รวบ ๆ เลยคือ จักรวาลนี้มีนอกจากเพศที่มีอยู่จะมีเพศรองอีกสามเพศ อัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ซึ่งคุณเป็นโอเมก้าตามตัวตนของคุณในโลกนี้ มันแบ่งเป็นชนชั้นเลยก็ว่าได้ สูงสุดคืออัลฟ่า ผู้หญิงที่เป็นอัลฟ่าไม่สามารถท้องได้ แต่พวกอัลฟ่าจะทำคนอื่นท้องได้ มีพละกำลังมากกว่า สถานะทางสังคมที่มักจะสูงกว่า เบต้าคือคนทั่วไปตามกฎธรรมชาติของเพศ และโอเมก้า ผู้ชายที่เป็นโอเมก้าสามารถท้องได้แต่ทำคนอื่นท้องไม่ได้ มีเรี่ยวแรงน้อยกว่า สถานะทางสังคมก็ค่อนข้างลำบากหน่อย”

แซมลุกพรวดจากเก้าอี้ สีหน้าตื่นตระหนกแบบที่เธอคาดไว้ไม่ผิด

“ผู้ชายท้องได้! ผมท้องได้! บ้าไปแล้ว มดลูกมีที่ไหนเล่า กระดูกอุ้งเชิงกรานมันไม่ใหญ่พอให้หัวเด็กออกสะหน่อย”

“ซึ่งก็มีแล้วตอนนี้ ที่คุณร้อน ๆ หนาว ๆ ก็คงเป็นเพราะร่างกายเปลี่ยนแปลง”

“ไม่ ไม่ ไม่ นี่แม่งบ้าอะไรกัน ตอนแรกก็ตกสะพานมาโพล่กลางท้องฟ้า เมื่อกี้ก็มีเรื่องจักรวาล ตอนนี้มามีเรื่องเพศบ้าบอไรนี่อีก มันจะมีอะไรน่าตกใจกว่านี้อีกไหม”

แอนเชี่ยนวันพยักหน้า เข้าใจได้ถ้าจะสติแตก แซมคอตก ภาวนาให้เรื่องนี้เป็นแค่ฝัน เขาไม่เข้าใจอะไรเลยและหงุดหงิด

“ทุกคนฟีโรโมนที่แรงพอจะสัมผัสได้ มันจำเป็นมากโดยเฉพาะเรื่องการจับคู่ การจับคู่ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าเกิดจากการที่อัลฟ่ากัดท้ายทอยโอเมก้า จะจับกันได้แค่ครั้งเดียว หรือแค่รอยกัดตามระหว่างขา ลำคอหรือข้อมือก็สามารถติดกลิ่นของผู้กัดแม้ไม่ถึงขั้นจับคู่ ฉันเลยต้องถามคุณเพราะคุณมีกลิ่นอัลฟ่าติดมาด้วย”

“แต่ผมมาจากโลกที่ไม่มีอะไรแบบนี้นะ”

“ตอนอยู่โลกนั้นอาจจะไม่เป็นอะไรแต่พอมาโลกนี้กฏมันก็ออกเปลี่ยนคุณได้ ซึ่งคนคนนั้นที่แปะกลิ่นเขาไว้ที่คุณเป็นอัลฟ่าในโลกนี้ แต่ฉันไม่รู้จักเจ้าของกลิ่นเลยบอกไม่ได้ว่าใคร”

“อ้อสำคัญที่สุด โอเมก้ามีช่วงฮีทหาคู่ทุก ๆ สองเดือน คุณจะส่งกลิ่นแรงมาก ให้อยู่ในบ้านให้ดี ระวังตัวด้วยเพราะกลิ่นจะล่ออัลฟ่ามาจับคู่ กินยาระงับกลิ่นไว้ก็ดี ช่วงก่อนฮีทจะได้ไม่ปล่อยกลิ่นแรง”

แซมไม่รู้จะพูดอะไรเลย เขาแค่ส่ายหน้า เขาคงต้องใช้เวลาสักพักในการทำความเข้าใจจักรวาลนี้แม้มันยากจะทำใจ มันไม่ง่ายเลยที่สมองมีแต่กล้ามเนื้ออย่างเขาจะเข้าใจอะไรไว โดยเฉพาะกับเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่ไอ้คำว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ดันเป็นจริงสะงั้น

ก่อนอื่นที่สุดคือกลับบ้าน ไปตั้งสติ

ถ้าแซมต้องมาปลอมตัวเป็นตัวเองในอดีตเขาก็ต้องกลับไปอยู่ที่เก่า ๆ ถ้าเขานึกได้ ปีนี้แซมอยู่ที่อเวนเจอร์สฟาสซิลิตี้ ซึ่งที่นั่นมีคนที่เขารู้จักและยังไม่หายไปไหนเพียบ

แอนเชี่ยนวันยื่นยาแผงหนึ่งและโทรศัพท์ให้เขาก่อนจะเปิดประตูมิติออก

“ฉันรู้ว่านี่มันหนักมากสำหรับคุณในคราวเดียว กลับไปพักผ่อนสะ แผนของเราก็แค่ให้คุณทำตามปกติทุกอย่างจนกว่าคุณอีกคนจะฟื้น มีปัญหาอะไรก็ติดต่อฉันได้”

เธอผายมือไปยังวงกลมสีส้ม แซมรับโทรศัพท์และยามาก่อนจะพลิกดูก็พบว่ามันคือยาระงับฮีท มีเบอร์โทรของเธออยู่เขียนอยู่ โทรศัพท์ที่ยื่นมาคือโทรศัพท์ของเขาที่ทำหายไปช่วงโดนดีดนิ้ว เดาว่าเธอคงมือเบาหยิบมันออกมาจากร่างสลบ

แซมกดเปิดดู ทุกอย่างเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยหากแต่ตัวเองก็ลืมไปแล้วบ้าง ทำให้แปลกใจที่เจอบางอย่างที่น่าอายของตัวเอง มันยังไม่มีเบอร์สก็อตหรือบัคกี้ แซมเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง ไว้เมื่อไปถึงที่พักค่อยกลับมาเช็กใหม่

“ขอบคุณ ถ้าไม่มีคุณผมคงหลงทาง ผมขอให้ผมแค่ฝันพิเรนทร์ ๆ ”

“โชคดีคุณวิลสัน คุณทำได้ และขอให้มันจริงอย่างที่คุณคิด แม้ฉันต้องตอบว่านี่ไม่ใช่ฝันก็ตาม”

แซมพยักหน้าแต่ใจปฏิเสธเสียงแข็ง เธอยิ้มจาง ๆ ให้ก่อนที่เขาจะเดินเข้าประตูมิติไปโพล่หน้าอเวนเจอร์สฟาสซิลิตี้ ที่ที่แซมไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก

 

ยิ่งแซมเดินไปตามทางเดินลึกขึ้นเท่าไหร่ความทรงจำก็ยิ่งหลั่งไหลออกมาเรื่อย ๆ ในช่วงสิบสองปีก่อนเขายังไม่สนิทกับใครนอกจากสตีฟเป็นพิเศษ และเขาก็ไม่ได้คลุกคลีในตึกนั้นบ่อยนักเพราะวุ่นกับการออกตามหาบัคกี้

ในเวลากลางคืนแบบนี้คนที่อาศัยอยู่ในฟาสซิลิตี้คงนอนกันไปหมดแล้ว แซมแอบย่องเบาพยายามไม่ให้เท้าตัวเองไปปลุกใครเข้า เขายังไม่อยากจะเจอใครในตอนนี้ โดยเฉพาะตอนที่ตัวเองยังไม่ได้รื้อฟื้นความทรงจำและโดนรถชนมา แซมเดินผ่านห้องของสมาชิกที่คุ้นเคย เขาเดินช้าลง นึกถึงวันเก่า ๆ ที่พวกเขาบางคนยังอยู่ รู้ตัวอีกทีแซมก็มาหยุดหน้าห้องสตีฟ

แอบคิดถึง ไม่มีคนวิ่งด้วยตอนเช้าแล้วเหงาเป็นบ้า

แซมถอนหายใจแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องของตัวเอง เขาจะมาลีลาอืดอาดไม่ได้ ถ้ามีใครเห็นเขาในชุดกัปตันอเมริกาเข้าคงเรื่องใหญ่แน่ๆ

หนุ่มกัปตันคนใหม่เข้าห้องตัวเอง ห้องที่เขาเคยอยู่ถึงจะไม่นานแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม แซมมองไปรอบ ๆ เตียง คอมพิวเตอร์ โต๊ะเก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า วางไว้อย่างเดิมตามแบบในความทรงจำ มันไม่มีอะไรมากเพราะแซมไม่ได้อยู่ที่นี่บ่อยนัก กลับมาก็ตอนส่งข่าวให้สตีฟ พักสักวันสองวัน ออกไปทำงานของตัวเอง กลับไปตามหาบัคกี้ต่อ วนอยู่แบบนั้นช่วงหนึ่ง แซมรีบเปลี่ยนชุดไปใส่ชุดลำลองธรรมดาก่อนจะเก็บชุดกัปตันไว้ในกล่องใหญ่ใบหนึ่งแอบไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วเอากล่องอื่น ๆ บังไว้ เขาต้องหาเวลาทำความสะอาดไม่งั้นกลิ่นคาวเลือดของเขาจะไปเตะจมูกใครเข้า แซมก้มสำรวจร่างกาย มีฟกช้ำหลายจุด มีเลือดออกเป็นแผลตามแขนขา เขาไม่ได้เป็นอะไรมากแม้ตอนแรกจะเกือบหมดสติก็ตาม

เขาน่าจะไปอาบน้ำ แซมคิดขณะกำลังจะล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ ไม่ใช่น่าจะ เขาต้องไปอาบน้ำ ร่างกายอาบเหงื่อเปื้อนเลือดเปื้อนโคลนอย่างกับขยะเปียก ไม่อยากให้กลิ่นตัวกลิ่นเลือดติดเสื้อผ้าเตียงนอน เขาถอดเสื้อผ้าอีกครั้งก่อนจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำที่ต่อจากห้องนอน แซมจะขัดตัวจนมั่นใจเลยว่ากลิ่นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่มาติดตัวเขาจะออกหมดจด

ก๊อก ๆ

โอ้ยพระเจ้าช่วย จักรวาลมันเป็นบ้าอะไรไม่ปล่อยเขาอยู่เฉย ๆ สักที แซมบ่นอุบอิบขณะเช็ดตัว เขาตั้งใจว่าจะไม่เปิดประตูต้อนรับใครเข้าห้องในเวลานี้ เสื้อผ้าก็อยู่ด้านนอกห้องน้ำด้วย แซมจึงนุ่งผ้าเช็ดตัวไว้บริเวณเอว เขาแง้มประตูห้องนอนออกไปดู

สตีฟเอียงศีรษะยืนมองมาที่เขาในความมืด

“สะ สตีฟ!”

แซมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรแต่ก็เดาได้ว่าคงเหมือนคนเห็นผี เสียงหลงแหลมสูงทำเอาคนที่ยืนอยู่หลังประตูหลุดขำเล็กน้อย สตีฟเข้ามาใกล้อีกแต่ก็ไม่ได้ชิดจนแซมอึดอัด

เขายอมรับเลยว่าคิดถึงคนตรงหน้ามาก สตีฟเป็นกัปตันอเมริกาผู้นำความหวังของหลายคน มากกว่านั้นคือเขาเป็นเพื่อนสนิทแซม กัปตันอเมริกาคนใหม่กำลังหลงทางและสับสน แต่เมื่อมีคนคนนี้มายืนตรงหน้าเขาก็รู้สึกปลอดภัยและใจเย็นลง แซมที่ตั้งการ์ดป้องกันตัวมาตลอดก็ปล่อยวางตัวเอง เหมือนไม่ต้องแบกอะไรไว้เมื่ออยู่กับเขา แซมคิดถึงจนเผลอมองอีกฝ่ายนานไปหน่อยและสตีฟก็จับสังเกตได้ เขาไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เขยิบเข้ามาใกล้ประตูอีกนิด

“แซม หน้าฉันมีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ ปกติดี”

สตีฟพยักหน้า ดวงตาฟ้าทะเลเบนไปยังด้านหลังแซมสังเกตห้องเขาแค่แวปเดียวก่อนจะกลับมามองหน้าเจ้าของห้อง สตีฟเลิกคิ้วยิ้ม

“ไหนนายบอกว่าจะกลับหลุยเซียน่า”

ถ้าหูไม่ได้ฝาด เขาเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าหลังสตีฟพูดจบ

แซมพยักหน้า แถ เขาต้องแถ อะไรก็ได้ให้ไม่ดูเหมือนคนที่เพิ่งทะลุจักรวาลมาเพราะโดนรถชน ทำตัวเองสลบแล้วดันกลายเป็นโอเมก้าผู้ชายท้องได้ อะไรก็ได้ขอเนียน ๆ

“เปลี่ยนใจตอนขากลับพอดีน่ะ เลยวนกลับมา”

สตีฟพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม แซมเริ่มสงสัย สตีฟจะยิ้มอะไรนักหนา นี่มันจะตีสามและเขาก็เริ่มกลัวสตีฟขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“นึกว่านายจะไปหาแฟนสะแล้ว”

“ห้ะ?”

“อ่าวก็นายคนนั้นไงที่มาจีบนาย นึกว่าไปด้วยกันกับเขา กลิ่นนายแปลกไปฉันเลยถามดูน่ะ”

แซมนึก เขาจำได้ว่าไม่เคยมีใครมาจีบเขาเลยในช่วงปีนี้ เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการตามหาบัคกี้จนไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น

“ไม่ ๆ เขาไม่ได้จีบฉัน”

“อ้อหรอ นายไม่รู้เองหรือเปล่า”

“ไม่รู้แหละแต่ฉันไม่ได้ไปไหนกับใครเลย”

สตีฟกอดอกขมวดคิ้ว จากรอยยิ้มก็เปลี่ยนไปตึงเครียดจนแซมเริ่มสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันกับแนทเป็นห่วงนายนะ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก ฉันแค่ต้องทำให้แน่ใจน่ะ โทษทีที่ต้องจู้จี้นาย แต่กลิ่นอัลฟ่านี่ใคร”

‘มันยังไม่หายอีกหรอ แม่งใครเล่นของใส่ปะวะ’

แซมส่ายหน้า เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าใครทำอะไรไว้ แต่ไม่มีใครเคยมากัดเขา แซมแน่ใจในเรื่องนี้

“ฉันไม่รู้”

สตีฟยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาถือวิสาสะก้มลงมาเล็กน้อยก่อนจะดมกลิ่นประหลาดที่ติดตัวแซมมา

นายโรเจอร์สถอยหลัง มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่เชื่อในสิ่งที่รู้

“แซม ทำไมนายถึงมีกลิ่นบัคกี้”

บัคกี้?

“ห้ะ… ฉันไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ สาบานได้”

สตีฟเลื่อนสายตาลงมายังร่างของแซมที่แอบอยู่หลังประตู แม้มันจะมืดแล้วแต่แสงจากห้องน้ำยังสาดส่องให้พอเห็นอยู่บ้าง แผลแดงสดและรอยช้ำปรากฏขึ้นอยู่ตามร่างกายของชายข้ามมิติ

“แซมฉันขอเข้าไปหน่อย”

สตีฟกดเสียงต่ำลง สิ้นเสียงร่างกายเหมือนโดนสิง มือดันประตูออกเปิดห้องแต่โดยดี แซมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยอมง่ายได้ขนาดนี้ เพียงแค่โทนเสียงที่เปลี่ยนไปก็ทำแซมอ่อนแรง ชายร่างหนาเบียดกายเข้ามาก่อนจะปิดประตูห้อง เขากอดอกมองแซมที่กำลังหลบสายตามองนู่นมองนี่ไปเรื่อย

“ไปโดนอะไรมา ทำไมเนื้อตัวมีแต่แผล นายเจอเขาแล้วหรอ เขาทำอะไรนายหรือเปล่า”

แซมส่ายหน้า โดนรถชนมาก็เป็นคำตอบที่ไม่แย่ หรือไม่ก็ให้เอาซอฟต์ลงหน่อยก็โดนมอเตอร์ไซค์ชน จะได้ดูไม่เว่อร์เกินไปว่าโดนรถชนแล้วมีแรงเดินกลับบ้านได้ไง

“เปล่า ไม่ได้เจอเขาเลย แค่โดนมอเตอร์ไซค์ชนเฉย ๆ ฉันคุยกับคนชนแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“นายควรไปทำแผลก่อนนะแซม”

อยากนอนโว้ยยยย อยากนอนนน ไปได้ยังสุดหล่อ

แซมคิด แค่คิดจริง ๆ ไม่กล้าพูด

“ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้”

“ไม่ เดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ”

ติดก็ช่างแม่ง ตายเลย จบ

“อย่าดื้อนักน่าแซม”

เสียงอ่อนลงราวกับอ้อนวอน แซมไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าไปสบตา แค่เสียงขอร้องของสตีฟก็ทำแซมคล้อยตามได้ง่าย ๆ เขามันขี้ใจอ่อน จนในที่สุดแซมก็พยักหน้ายอม

สตีฟกลับออกไปเอาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลจากห้องพยาบาลก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด เขาวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะ ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ เจ้าของห้องที่นั่งบนเตียง เริ่มปฐมพยาบาลจากแผลตามหัวเข่าและข้อศอก

แซมมองสตีฟที่กำลังทายาให้เขา แซมแทบลืมไปแล้วว่าสตีฟตอนก่อนที่จะไว้เคราเป็นอย่างไร ถึงลึก ๆ เขาจะชอบตอนสตีฟไว้เครามากกว่าก็ตาม แต่ตอนหน้าอ่อนก็ดูดีไม่แพ้กัน แล้วแซมก็ตัวร้อนขึ้นมาจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงและอาการเหนื่อยล้า หรือเพราะอะไรเขาก็ไม่อยากรู้

“ว้าว นายใช้น้ำหอมอะไร หอมดีนะ ปกติไม่เคยเห็นใช้”

สตีฟเลิกคิ้วเงยหน้ามองแซม

‘โอ้ว ฉิบหาย’

เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องโอเมก้าบ้าบออะไรนั่น ถ้าเขาเป็นโอเมก้า แล้วสตีฟเป็นอะไร แล้วการที่เขาได้กลิ่นหอมจากสตีฟแปลว่าอะไร น้ำหอมหรือเปล่า หรือนั่นคือฟีโรอะไรสักอย่าง แล้วดมกลิ่นไปเขาจะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนคืออัลฟ่าหรือโอเมก้า

สตีฟยิ้มให้เขา

“แล้วนายชอบไหม”

อาจจะน้ำหอม แซมคิด

“ก็ดีนะ ชอบเลย”

สตีฟหัวเราะเบา ๆ แล้วทำแผลต่อ

ไม่นานนักทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย สตีฟเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง ยื่นขวดน้ำให้แซม แล้วชายผมบลอนด์ก็ดึงเขาเข้ามากอดแน่น ลมหายใจร้อนเป่ารดคอแซมเบา ๆ จนไหล่กระตุกงอ แซมกอดกลับก่อนจะถอยออก

“อย่าลืมกินยาล่ะแซม พรุ่งนี้ค่อยไปตรวจร่างกายกัน ฝันดี”

“โอเค ฝันดี”

แซมรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยตรงลำคอ

แล้วสตีฟก็กลับห้องของตัวเองไป ทิ้งไว้แค่แซมที่นั่งเหม่อเปลือยท่อนบนอยู่ขอบเตียง เขารีบแต่งตัวให้เสร็จแล้วขึ้นเตียงห่มผ้า เหนื่อยเกินจะมาคิดอะไรต่ออีก แล้วเขาก็หลับตาพริ้ม เตรียมตัวเจอกับเรื่องน่าตกใจอีกร้อยแปดพันเก้าที่รอเขาอยู่

ไม่อยากยอมรับเขานอนหลับง่ายขึ้นเยอะเมื่อได้กลิ่นที่ติดตัวสตีฟลอยอยู่ในห้องนอน

Chapter 3: หลักฐาน

Notes:

เป็นตอนที่แต่งนานมากกกกกT___T หลังจากตอนที่3จะอัพตามช่องทางหลักแล้วนะคะ(ช้า)

Chapter Text

“แซม”

เสียงคุ้นเคยของใครบางคนที่เขาเฝ้ารอดังข้าง ๆ หูปลุกเขาให้สะดุ้ง ความอบอุ่นสัมผัสเบาที่กรามราวคนกดริมฝีปากจุมพิต เตียงยวบอ่อนคล้ายพื้นที่นั้นคือใครสักคนที่กำลังกอดเขาจากด้านหลัง

จนเมื่อแสงแรกแยงตา เขาก็รู้ได้ว่านั่นคือเสียงของสตีฟ และมันดังมาจากนอกประตูไม่ใช่ข้างกาย มันก็แค่ฝัน เขาคิดไปเอง แล้วสัมผัสอุ่นร้อนก็กลายเป็นความเย็นจากลมแอร์ ไม่ใช่ริมฝีปากของใคร เขาใจสั่น ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรถึงขนาดหูฝาดถึงชายคนนั้น มือกดลงที่กราม ไม่มีอะไรเลย แม้แต่เงาหรือคลื่นลมหายใจสุดท้ายก่อนจากไป

แซมเหม่อ เขาเอื้อมมือออก พยายามจะขว้าอะไรสักอย่างที่หนีเขา มันไม่เคยอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก หรือไกลจนไม่มีวันถึง เขาถอนหายใจเลิกนอนเพ้อแล้วก็ลุกไปล้างหน้าเตรียมตัว

แซมหาวรอบที่สี่ของเช้านี้แล้ว สตีฟเข้ามาปลุกแซมตั้งแต่เก้าโมงเพราะเห็นว่าเจ้าตัวไม่ออกไปวิ่งตามปกติ จนเขานึกได้ว่าแซมเพิ่งโดนมอเตอร์ไซค์ชนมา เขาเลยรีบพาชายบาดเจ็บไปรักษาที่ห้องพยาบาลทันที ตอนรอหมอตรวจแซมก็สะลึมสะลือจะหลับตลอดเวลา คงมาจากอาการเพลียอ่อนล้าที่สะสมมาทั้งวัน

“คุณวิลสัน โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไรมากโดนชนไปขนาดนั้น พักผ่อนเถอะคุณเพลียมากแล้ว”

แซมพยักหน้าตอบรับหมอที่เพิ่มตรวจร่างกายเขาเสร็จไป โดยที่มีสตีฟยืนกอดอกฟังด้วยอยู่ไม่ห่าง หมอจดอะไรสักอย่างแล้วดูเหมือนเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ

“ช่วงนี้ได้กินยาบ้างไหม”

แซมตื่นเต็มตา เขาต้องพูดตรง ๆ เพราะร่างกายมันหลอกหมอไม่ได้ แซมเดาว่าตัวเองคงจะไม่กินเป็นประจำขนาดนั้น เชื่อมโยงกับคำพูดของสตีฟเมื่อคืนที่พูดเหมือนกับว่าเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับเขา แซมก็เดาว่าคงเป็นเรื่องกลิ่นที่ว่า

“ไม่ค่อย…”

หมอพยักหน้า เขาจดยุกยิกก่อนจะตรวจดูใบอะไรสักอย่างไปพร้อมกัน สักพักหมอก็ลุกขึ้นขออนุญาตแซมแล้วดึงคอเสื้อดูรอบ ๆ คอแซม ชายโอเมก้าสะดุ้งเฮือกแต่ก็พยายามไม่ขัดขืน หมอแค่ตรวจไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ ถึงแบบนั้นแซมก็ชินไม่ได้เสียที หมอดูข้อมือก่อนจะขอให้สตีฟออกห้องไปด้วยเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย

“ปกติทุกอย่างไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่ตามที่คุณโรเจอร์สบอก คุณมีกลิ่นอัลฟ่าคนอื่นติดมา คุณพอจะจำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้เขาได้เข้าใกล้ช่วงลำคอ ข้อมือหรือหว่างขาคุณหรือเปล่า”

หมอพูดน้ำเสียงเรียบหน้าตายเหมือนนี่มันคำถามลมฟ้าอากาศทั่วไป แซมพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ที่จะถามเรื่องว่า ‘มีใครมากัดระหว่างขาของคุณไหม’

แซมค้นความทรงจำย้อนกลับไปถึงจักรวาลของตัวเอง เจ้าของกลิ่นคือบัคกี้ฉะนั้นต้องนึกย้อนไปว่าเจ้าตัวมาใกล้คอเขาตอนไหน นึกได้ทันทีว่าคือตอนที่เขาเฝ้าวาคีนผ่าตัดแล้วบัคกี้มาเยี่ยมให้กำลังใจ มีกอดกันเล็กน้อยแต่แซมก็จำความรู้สึกกอดนั้นได้ดี มันคือกอดสุดท้ายก่อนที่เขาจะข้ามมาจักรวาลนี้ รอยกอดอุ่นของบัคกี้ยังแทรกไปตามร่างกายเขาอยู่ แค่คิดถึงหัวใจก็เต้นเร็วผิดจังหวะ แซมอยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ให้นานและมั่นคงที่สุด

แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้

ถึงขั้นกลิ่นของบัคกี้ซึมเข้าร่างกายของแซมแทรกตัวอยู่ทุกอณูรูขุมขน เหมือนประทับตราความเป็นเจ้าของไว้บนเรือนร่าง แม้จะห่างกันคนละจักรวาลแต่บัคกี้ก็ยังตามแซมไม่ห่าง ถ้าตัวชายแขนเหล็กมาไม่ได้ ก็ขอให้กลิ่นของเขาลอยตามแซมเป็นเงาให้แซมคิดถึง ไม่ปล่อยให้นายวิลสันเลิกรักเขาง่าย ๆ

“ก็… ก่อนหน้านี้สักพักใหญ่ผมกับเจ้าของกลิ่นเพิ่งกอดกัน แค่กอดธรรมดาเฉย ๆ นะ แบบว่าเพื่อนกัน แต่เขาคงใกล้คอผมเกินไปหน่อยละมั้ง”

หมอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองแซม เขาไม่ได้พูดอะไรแต่สายตาดูเหมือนมีคำถามกำลังถือมีดจี้เอาคำตอบที่คอหอยแซมอยู่ ชายผิวเข้มพยักหน้ายืนยันว่ามีแค่นั้นจริง ๆ หมอผงกศีรษะตอบรับ

“เจ้าของกลิ่นคือคุณเจมส์บาร์สน์ ซึ่ง…”

แหงล่ะ ตอนนี้บัคกี้ของโลกนี้กำลังเป็นผู้ร้ายหลบหนีที่สติสัมปชัญญะยังกลับมาไม่เต็มร้อย มีโอกาสปลุกให้เป็นวินเทอร์โซลเยอร์ได้ทุกเมื่อ การที่แซมมีกลิ่นของผู้ร้ายระดับใหญ่ขนาดนั้นคงน่าแปลกไม่น้อย ต่อให้กลิ่นนั้นไม่ใช่บัคกี้คนนี้แต่เป็นคนในอนาคต ใครจะไปรู้กับแซมว่าเขาเพิ่งทะลุมิติมา

ตายห่า เผลอพูดไปแล้วว่าเป็นเพื่อนกัน

“ก็ก่อนหน้านั้นสู้กัน เข้าใกล้คอผมก็ไม่แปลก เอ้ ผมน่าจะจำผิดคน คนที่ผมกอดไม่ใช่เขาสะหน่อย โทษทีนะหมอผมจำผิด สตีฟต่างหากที่กอดผม”

ถูก! นี่แหละ ก็เมื่อคืนนายสตีฟโรเจอร์สมากอดเขาจริง ๆ ไม่ได้โกหกตรงไหน

แซมพูดบ่ายเบี่ยง ซึ่งมันก็พอฟังขึ้นอยู่บ้างถ้าหมอไม่รู้ว่าคนสู้กันไม่มีใครที่ไหนไปใกล้ลำคอกันนอกจากมีด แซมยิ้มแฉ่งกลบเกลื่อน หมอก็หน้านิ่งจนแซมอ่านใจไม่ออก

“โอเค แล้วกลิ่นของนายบาร์นส์เป็นปัญหากับคุณหรือเปล่า”

แซมยังแยกกลิ่นตัวเองจากบัคกี้ไม่ออก มีแต่คนพูดกับเขาว่ากลิ่นตัวคนอื่นมาติด เขายังไม่รู้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น

“ถ้าคุณกำลังหาแฟนผมก็แนะนำให้เอากลิ่นเขาออก มันคงติดไม่นานแต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจว่าคุณมีคู่แล้ว ถ้าคุณไม่ได้อะไรก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็หายไปเอง ถึงอาจจะนานนิดหน่อยเพราะเขาฝังไว้แน่นทีเดียว”

ชายคนป่วยไม่มีอารมณ์มาหาแฟนอะไรในตอนนี้ เขาสนใจแค่ว่าต้องปลอมตัวให้เนียนที่สุดไม่งั้นจักรวาลจะแตก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่โตกว่ามาก เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องที่ถ้าเขากลับบ้านไปก็คงไม่มีผลอะไรอีก เผลอ ๆ ถ้าทำอะไรไปมันจะติดเขากลับไปด้วยคงเรื่องใหญ่ไม่น้อย

แซมส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้จะหาแฟน ปล่อย ๆ มันไปก็ได้”

หมอพยักหน้าแล้วจัดยาให้แซม เขายื่นถุงให้ก่อนจะชี้ว่าแต่ละตัวควรใช้ตอนไหน แซมก็รับฟังอย่างตั้งใจ อยากจะรีบ ๆ หายให้ไวที่สุดจะได้ออกไปที่ไกลคนอื่น ๆ ไม่โดนจับผิดตลอดเวลา

“ตัวนี้ทาจุดฟกช้ำ ทาได้เรื่อย ๆ เลย ส่วนนี่ก็ยาแก้ปวด ทานหลังอาหารเช้ากลางวันเย็น ไว้ผมจะนัดดูอาการคุณเรื่อย ๆ คุณมียาระงับฮีทแล้วใช่มั้ย กินประจำก็ดี เออจริงสิ กลิ่นอัลฟ่าที่ติดตัวคุณมันจะกระตุ้นคุณให้นึกถึงเขาบ่อยขึ้นแล้วก็ฮีทง่ายกว่าปกติ ระวังตัวด้วยล่ะ”

นี่มันโคตรแย่เลยนี่หว่า

แล้วทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก

แซมหรี่ตามองหมอที่เบนสายตาไม่รับรู้ไปทางอื่น ถึงว่าเมื่อเช้าทำไมได้ยินเสียงชายแก่หลงยุคนั่น

ฮีทเฮิ้ทอะไร ไม่รู้เรื่อง ไม่แคร์เว้ย แค่กลิ่นตัวแรงเฉย ๆ ไม่ใช่หรอ ทาโรลออนก็จบ แซมคิด

“ขอบคุณครับหมอ”

แล้วแซมก็ถือถุงยาออกจากห้องพยาบาลไป เจอสตีฟที่นั่งรอหน้าห้องกับนาตาชา แซมค้าง ตั้งแต่เขาโดนดีดนิ้วก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย จนมารู้ทีหลังว่าเธอสละชีวิตแลกมณีไปแล้ว เขาก็คิดถึงเธอมากเหมือนกัน คนที่ออกไปทำภารกิจด้วยกันบ่อย ๆ ช่วยเหลือกันมาตลอดดันตายไปก่อนไม่ได้ล่ำลา แซมไม่อยากให้เขาผิดสังเกตเหมือนเมื่อคืนที่เผลอมองสตีฟนานไปหน่อย เขาเลยเบนสายตาไปยังยาที่ได้มา

“หมอว่าไง”

เสียงเธอก็ยังเหมือนเดิมตั้งแต่วันที่จากกัน

“ก็… ไม่ได้ว่าไง แค่เพลียเฉย ๆ ต้องพักผ่อนหน่อย”

“ก็ดี อืมมม ก็ดี”

นาตาชาและสตีฟกอดอกพยักหน้ามองมาที่แซมอย่างจับผิด

“แล้วหมอบอกว่าอะไรไหมเรื่องกลิ่นบัคกี้” เธอถาม

เห้ย ไม่คิดถึงละ จับผิดกันอยู่นั่นแหละ

แซมขมวดคิ้ว ก็คงต้องตอบแบบที่โกหกหมอไป

“ก็แค่เผลอมาใกล้คอ แค่นั้น”

ทั้งสองไม่ใช่หมอ และรู้ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่เจอบัคกี้คือตอนไหน ไม่มีทางที่จู่ ๆ แซมจะมีกลิ่นชายแขนเหล็กขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นปริศนาไปเพราะหัวกล้ามเนื้อของทั้งสองไม่มีทางหาคำตอบได้ว่าทำไม ถ้าแม้กระทั่งหมอก็ยังไม่รู้

“ฉันต้องไปหาคลินท์ เขามีธุระนิดหน่อย ยังไงก็พักผ่อนนะแซม ฝากงานให้นาตาชาทำต่อก่อนก็ได้”

แล้วสตีฟก็เดินออกไปทิ้งให้นาตาชายืนอยู่กับแซมสองคน เธอควงกุญแจรถที่โทนี่ซื้อไว้ใช้ในฟาสซิลิตี้ แซมจำได้ว่ามันโดนสก็อตเหยียบเละตอนศึกธานอสครั้งสุดท้าย นาตาชากดเปิดประตูก่อนเดินนำขึ้นรถ เธอกวักมือเรียกแซมที่ยืนงงให้ขึ้นรถมาด้วยกัน แม้ไม่รู้ว่าจะไปไหนแต่ก็ดีกว่านอนในห้องเฉา ๆ

เมื่อขึ้นรถมานาตาชาก็หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม เธอปรับเบาะอะไรให้พอดีก่อนจะหันมาที่แซม

“ไง เมื่อคืนโดนมอเตอร์ไซค์ชนหรอ”

แซมเอนตัวพิงเบาะ หญิงผมแดงก็สตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนถอยออกที่จอด

“ก็งั้นแหละ แต่เคลียร์แล้ว แล้วนี่เราจะไปไหน”

“ไปหาอะไรกินแล้วก็จะได้คุยเรื่องงานด้วย ฉันเบื่อเมนูในตึกจะบ้าตาย โดนัทหรือเบอร์เกอร์ดีนายว่า”

“เบอร์เกอร์ดิวะ”

นาตาชาขับรถออกจากบริเวณอเวนเจอร์สฟาสซิลิตี้ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง แซมกดเปิดวิทยุฟังอะไรเพลิน ๆ ไม่ให้รถคันนี้เงียบจนเกินไป นาตาชาตั้งใจขับรถจนเธอไม่ได้หันมามองแซมที่แอบลอบมองเธออยู่ เขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าหญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาเป็นอย่างไร แต่พอมองความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามา จำได้ดีว่าเธอชอบเบอร์เกอร์ร้านอะไร และรู้ด้วยว่าเธอจะไปเส้นทางไหน มีแต่คนให้แซมคิดถึง แอบทรมานเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามันก็แค่อดีต นาตาชาจะรู้บ้างไหมว่าอีกแปดปีข้างหน้าเธอจะต้องตาย และเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยแม้รู้ทุกอย่าง

“แซม”

เธอเรียก ตายังคงมองถนน

“ว่า”

“คิดอะไรอยู่ ทำไมจู่ ๆ ก็เศร้า”

แซมขมวดคิ้ว เธอรู้ได้อย่างไร

“เธอรู้ได้ไง”

“กลิ่นนายมันฟ้อง”

นี่แม่งกลิ่นหรือโทรจิตวะ มันต้องมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเลือกถามไปตรง ๆ เลย ไม่อยากแกล้งทำเป็นรู้เรื่อง

“กลิ่นมันทำไม”

“ปกติความเครียดมันส่งผลต่อกลิ่นได้ มันก็แค่แปลกไปเฉย ๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากถ้าไม่ได้สังเกต”

“แปลว่าเธอดมฉันตลอดเวลาหรอ แนท ทำห่าอะไรวะ”

ทั้งสองขมวดคิ้วใส่กัน แซมไม่เข้าใจทำไมถึงต้องเอาแต่ดมกันอยู่นั่น แม้ว่าจริง ๆ เขาก็ได้กลิ่นคนอื่นที่แรงกว่าโลกของตัวเองเหมือนกัน ซึ่งกลิ่นนาตาชาไม่เหมือนสตีฟเลยสักนิด แต่มีความคล้ายกันคือเมื่อเขาได้กลิ่นใกล้ ๆ แซมจะรู้สึกตัวอ่อนแรงลง

“พูดเหมือนฉันเป็นโรคจิตงั้นแหละ ฉันเป็นอัลฟ่า ก็ต้องได้กลิ่นโอเมก้าดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว และเราอยู่ในรถคันเดียวกัน ไม่ให้ดมแล้วให้ทำอะไรวะ กลั้นหายใจจนหน้าเขียวเป็นฮัลค์หรอ”

หลอนชื่อฮัลค์ เขาเพิ่งโดนไอ้ตัวแดงกระทืบมาหมาด ๆ

แซมเหมือนรอยหยักเพิ่มขึ้นในสมองมาหนึ่งขีด อัลฟ่าจะได้กลิ่นโอเมก้าง่ายกว่าคนอื่น เขาจดความรู้ใหม่นี้ลงสมอง

“แล้วใครเป็นอัลฟ่าโอเมก้าบ้าง”

แซมถาม เผื่อเขาจะหาคำแนะนำจากคนที่เป็นเหมือนกับเขาได้บ้าง จะได้รู้ว่าต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร เพราะดูเหมือนการมีเพศรองที่ต่างกันก็ทำให้ประสบการณ์และร่างกายแทบต่างกันโดยสิ้นเชิง นาตาชานึกอยู่สักพักก่อนจะร่ายรายชื่อเท่าที่เธอจำได้มา

“นายจำไม่ได้หรอ ฉันและสตีฟเป็นอัลฟ่า อ้อ บาร์นส์ก็ด้วย มีแค่นายและโทนี่ที่เป็นโอเมก้า ไรลี่เพื่อนนายก็เป็นอัลฟ่านี่ เอ้ หรือแฟนเก่านะ”

แฟนเก่า…?

ในจักรวาลของเขา ไรลี่เป็นเพื่อนรักของแซมเพียงคนเดียวในช่วงเป็นทหาร แม้จริง ๆ จะเกินเพื่อนไปหลายรอบแต่สุดท้ายก็จากไปก่อนจะได้ไปไกลกว่านี้ มันทำให้แซมถึงขั้นชีวิตเป๋จนเขาปลดประจำการทหาร จักรวาลนี้ก็คงไม่ต่าง ดูท่าแซมคนนี้จะมีโอกาสใกล้กับไรลี่มากกว่าเขา หรือเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ไม่แน่ใจ ไรลี่จากไปตั้งแต่2011 นับจากปัจจุบันของจักรวาลนี้มันก็ยังไม่นาน หากแต่ของเขาก็เกินสิบกว่าปีไปแล้ว แผลใจของแซมคนนี้ยังคงสดใหม่ ต่างกับเขาที่ทำใจได้แล้วบ้าง แต่พอมองหน้าวาคีนทีไรเขาก็นึกถึงหนุ่มผมน้ำตาลสว่างคนนั้นทุกที เหมือนภาพทับซ้อน

เขาคงเงียบนานเกินไปหน่อย นาตาชาเหมือนนึกอะไรได้ก่อนที่สีหน้าเธอจะหมองลง รถหยุดตรงไฟแดงก่อนที่เธอจะหันมาหาเขา

“ขอโทษนะแซม ฉันไม่น่าพูดถึง”

เขาไม่เป็นอะไร แต่แซมอีกคนก็ไม่แน่

”ไม่เป็นไรน่าแนท ฉันเป็นคนถามเธอเอง”

เขาควรเข้าเรื่องงานที่สตีฟว่า ไม่อยากให้บรรยากาศในรถเสีย

“แล้ว งานที่สตีฟว่าคืออะไรนะ”

นาตาชาขมวดคิ้ว เธอไม่เข้าใจว่าแซมลืมได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นอย่างเดียวที่พวกเขากำลังหมกหมุ่นอยู่ในช่วงนี้

“ให้ฝากไปเอาเอกสารเก่าเกี่ยวกับวินเทอร์โซลเยอร์ของชีลด์จากมาเรีย เธอรอนายอยู่ที่ในเมืองนั่นแหละแต่เดี๋ยวฉันจะไปด้วย แล้วหลังจากนั้นก็ไปพักสะ ฉันจะไปส่องกล้องต่อให้”

แซมผงกศีรษะตาม ก็ดีที่ได้มานั่งรถเล่นและออกมาดูเมืองนิวยอร์กอย่างที่เคยเป็นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ก่อนศึกธานอสถล่มอเวนเจอร์สฟาสซิลิตี้ยับเยินส่งผลลามออกไปไกล แซมเอนตัวพิงเบาะ ผ่อนคลายตัวเองมองวิวภายนอกไปเรื่อย ๆ เพลงจัสตินบีเบอร์ช่วงที่ยังคบกับเซเลน่าโกเมสดังขึ้นมาในวิทยุ เพลงซอรี่ที่บัคกี้บอกไม่ชอบแต่แอบเพิ่มไว้ในเพลลิสต์ แซมแอบลอบยิ้ม แค่เพลงธรรมดาไม่มีเบื้องหลังอะไรกับเขา มันก็ยังทำให้แซมคิดถึงบัคกี้ได้

“นี่ เมื่อวันก่อนฉันเห็นสตีฟพยายามใส่เสื้อที่วานด้าซื้อให้ มันแน่นเกินกระดุมดีดกระแทกกระจกแทบแตก”

“โคตรเว่อร์”

ทั้งสองหัวเราะร่า

แซมและนาตาชาคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อยถึงคนนู้นทีคนนี้ที หัวเราะคิกคักกับเรื่องตลกที่เอามาเล่าให้กันฟัง แซมคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ เหมือนเป็นแค่ฝันที่ได้มีโอกาสย้อนเวลากลับมาในอดีตที่คิดถึง ไม่นานนักนาตาชาก็ขับเข้าไดรฟทรูซื้อเบอร์เกอร์ให้ทั้งตัวเธอและแซม ก่อนจะขับมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดพบมาเรียฮิลล์

มันเป็นร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ห่างจากตึกฟาสซิลิตี้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง แซมจำได้ดีว่าเขาชอบมัฟฟินช็อกโกแลตที่นี่มาก กลับอพาร์ตเม้นท์ครั้งไหนจำเป็นต้องซื้อตลอด ทั้งสองลงจากรถก่อนจะเข้าในตัวร้าน ในเวลานี้คนยังไม่เยอะเท่าช่วงเย็น ทำให้โต๊ะยังมีว่างและคิวเครื่องดื่มและขนมไม่ยาวเท่าไหร่ นาตาชาฝากแซมสั่งกาแฟแล้วเธอก็ตรงไปหามาเรียที่นั่งรออยู่

แซมยืนดูเค้กและเบเกอรี่สักพักก่อนจะไปเห็นมัฟฟินช็อกโกแลตที่ชอบ เขาสั่งไปสี่ชิ้น ตั้งใจจะกินให้หายอยากสักที แล้วชายร่างเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเดินกะเผลกมายังโต๊ะ มาเรียเมื่อเห็นแซมสภาพเละก็ขมวดคิ้วสงสัยมองมายังนาตาชา เธอแค่ไหวไหล่

“มอเตอร์ไซค์ชนน่ะ” นาตาชาพูด

มาเรียพยักหน้า เธอเลิกสนใจก่อนจะหยิบเอกสารออกมา

“ชีลด์มีแค่ประวัติเบื้องหลังเก่า ๆ ของวินเทอร์โซลเยอร์ ไว้คุณไปศึกษาคาดเดาพฤติกรรมการหลบหนีของเขาต่อเอาเอง ช่วงที่โดนไฮดร้าใช้งาน มีบันทึกว่าเขาพยายามรื้อฟื้นความทรงจำ เมื่อทำภารกิจเสร็จก็มักเดินเล่นไปเรื่อย ๆ เหมือนการเดินจะช่วยรื้อความทรงจำกลับมาช่วงที่การสะกดจิตเริ่มคลาย เขามักเดินไปไม่มีจุดหมาย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อมีคนมารับเขากลับ”

แซมจำได้ บัคกี้ชอบเดินมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย แม้กระทั่งทุกวันนี้

“ไฮดร้าล้างความทรงจำก่อนจะเอาเขากลับไปแช่ แต่พอตื่นมาก็เหมือนมันยังค้างอยู่ในหัวเขา จำไม่ได้แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกถึงมันตลอด เขาถามผู้คุมตลอด เราเดาได้ว่าเขาน่าจะจำสถานที่ในอดีตบางอย่างได้ บางทีเขาน่าจะสงสัยมากพอจะหนีไปที่นั่น ไฮดร้าล้างความทรงจำเขาได้ไม่หมด”

“นั่นก็แปลว่าเขาคงต้องพยายามหาตัวตนตัวเอง ซึ่งสถานที่เก่า ๆ ที่เคยติดอยู่ในใจก็มีโอกาสสูงที่เขาจะไป” นาตาชาพูด

“ใช่และมันก็มีอยู่ไม่กี่ที่ เรื่องนี้ก็น่าสนใจ ตั้งแต่โดนไฮดร้าจับไปเขาก็ไม่เคยรัทอีกเลยเจ็ดสิบปีมานี้ โดนฉีดยาระงับตลอด ซึ่งนั่นนานมากและเขาไม่เคยมีคู่ ถ้าเขารัททีนึงน่าจะอาการหนัก ไฮดร้าระงับต่อมกลิ่นเขาด้วย มันจะตามตัวเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีใครมาฉีดยาแล้ว กลิ่นเขาคงกลับมาเป็นปกติ”

แซมงง แอนเชี่ยนวันไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้เลย รัท คืออะไรก็ไม่รู้แต่ไม่มีในโอเมก้า นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่เธอเลือกจะไม่บอกเพราะคงไม่สำคัญ แต่แซมชักไม่แน่ใจ เขารู้สึกว่านี่มันสำคัญมาก ขนาดไฮดร้ายังฉีดยาระงับไว้นานขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

ไม่นานนักออเดอร์ของทั้งสองก็มาเสริฟ กาแฟสองแก้วและมัฟฟินช็อกโกแลตอีกสี่ นาตาชาหันมามองหน้าแซม เขาก็เบะปากให้ ในรถมีเบอร์เกอร์อยู่แล้วก็ยังสั่งเพิ่มอยู่ มาเรียเอาเอกสารมาวางเพิ่ม ก่อนจะกางมันออก

“อื่น ๆ ก็ลองเอาไปอ่านดู ฉันแค่ยกตัวอย่างมาอันที่คิดว่าสำคัญ ส่วนนี่คือฐานเก่าไฮดร้าตั้งแต่แรกถึงปัจจุบัน กระจายตัวเยอะมากทั่วอเมริกาและยุโรป ถึงจะโดนทำลายไปแล้วแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ นายบาร์นส์น่าจะไม่อยากอยู่ใกล้สถานที่พวกนี้ ไม่งั้นจะโดนจับไปอีกครั้งได้ง่าย ๆ ”

“ถือว่าเธอไม่ได้ได้ข้อมูลลับนี้จากฉัน ห้ามให้ใครเห็นนอกจากพวกเธอที่ตามหาเขา ไม่ใช่แค่เราที่ต้องการเขา พวกไฮดร้าถึงสิ้นไปเยอะแล้วแต่ก็ยังอยู่ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบคุณมาเรีย ฝากขอบคุณฟิวรี่ด้วย”

แซมพูด มาเรียพยักหน้า ก่อนจะรีบลากลับไปก่อนเพราะเธอไม่อยากอยู่นานเกินจนน่าสงสัย นาตาชาและแซมนั่งเล่นกันสักพักก่อนทั้งคู่จะกลับอเวนเจอร์สฟาสซิลิตี้

การตามหาบัคกี้ในตอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะเจอก็เกือบหนึ่งปีที่ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายเมื่อ2014 เวลาตอนนี้ที่จะเจอใกล้เข้ามาแล้ว แซมจำได้ ว่าหลักฐานชิ้นสุดท้ายในการหาชายแขนเหล็กคือแซมเจอเอกสารภาพถ่ายการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายในยุโรป นั่นสะกิดต่อมสงสัยแซมจนตามรอยเจอว่านั่นคือบัคกี้จริง ๆ และเมื่อคนที่ต้องหาเบาะแสนั้นอย่างแซมสลบไม่รู้เรื่องก็ต้องเป็นเขา ตัวตนอีกจักรวาล ที่จะต้องทิ้งร่องรอยให้ตัวเองอีกคนหาเจอ

แซมกลับมาทั้งทีเขาอยากทำในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ออกไปเที่ยว ตกปลา อยู่กับครอบครัว ทุกอย่างที่ทำให้ลืมบัคกี้ได้ ถึงสตีฟจะส่งเขาไปยุโรปและจำเป็นต้องส่งข้อมูลกลับเพื่ออัพเดทการหลบหนี แซมก็จะไม่มีวันเดินหานายผมฟูแขนเหล็กนั่นเด็ดขาด พอแล้วกับการวิ่งไล่ตาม เกมวิ่งไล่จับระหว่างบัคกี้และแซมสิบกว่าปีนี้ต้องจบลงเสียที เขาจะไม่มีวันเล่นมันซ้ำอีก

จักรวาลไม่ได้ให้เราคู่กันอยู่แล้ว แซมคิด

 

ในตอนเย็นหลังจากแซมตื่นเขาก็มานั่งเล่นในห้องโถงนั่งเล่น มีคนที่เคยพบเจอมากมาย คลินท์พาภรรยาและลูกมาเล่นด้วย นาตาชาและวานด้าเข้าไปเล่นกับเด็ก ๆ คนอื่นทำธุระของตัวเอง ส่วนเขาก็แอบนั่งอยู่คนเดียวค้นโซเชียลตัวเอง เขาเลื่อนไปความทรงจำเก่า ๆ ก็พรั่งพรูเข้ามา แต่บางโพสต์เขาก็สงสัยว่าตัวเองเคยน่าอายขนาดนี้ได้อย่างไร เขาเลื่อนไปเรื่อย ๆ เจอบัญชีของซาร่าห์ที่แท็กเขาในงานวันเกิดของหลานชายไม่นานมานี้ เอเจ ในวัยสามขวบ

แซมนึกขึ้นได้ แคส หลานชายอีกคนเกิดปีนี้ ซาร่าห์กำลังตั้งท้อง อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว ในตอนนั้นแซมอยู่ยุโรปติดภารกิจตามหาวินเทอร์โซลเยอร์ทำให้ไม่สามารถไปอยู่ข้างเธอได้ พลาดโอกาสสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย ที่ทุกวันนี้เขาก็ยังเสียใจไม่หาย

ชายหนุ่มเลื่อนดูอะไรไปเรื่อยย้อนความจำตัวเองก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกพร้อมกับกลิ่นที่ฟุ้งกระจายแรงไปทั่ว มันทำแซมมึนหัวและตัวอ่อนยวบไปพร้อมกัน เขาเหมือนไม่มีแรง ถูกดึงดูดสมาธิให้หันไปสนใจผู้มาเยือน สตีฟเปิดประตูเข้าห้องมาด้วยสภาพที่เหงื่อท่วมตัว เดาได้ว่าน่าจะกลับจากไปวิ่งมา แซมไม่ยักรู้ว่ากลิ่นของใครสักคนจะแรงได้ขนาดนี้มาก่อน ตอนเป็นทหารเคยอยู่อัดรวมกับทหารคนอื่นที่ไม่ได้อาบน้ำเลยหลายวัน มันก็ยังไม่แรงเท่านี้ มันไม่ใช่กลิ่นเหงื่อที่แรง มันคือกลิ่นฟีโรโมน

สตีฟถือแล็ปท็อปมาพร้อมด้วยเอกสาร เขานั่งลงข้างแซมก่อนจะวางของลงบนโต๊ะ ฟีโรโมนชายข้าง ๆ ทำให้แซมคิดอะไรไม่ออก ร่างกายร้อนขึ้นมาผิดปกติ ในหัวมีแต่หน้าสตีฟแม้อยู่ไม่ห่างกัน กลิ่นมันแรงกว่าเมื่อคืนและตอนที่เขาอยู่บนรถกับนาตาชา

“โทษที ฉันเพิ่งได้มันมาเลยรีบเอามาให้นายก่อน ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไร เดี๋ยวมานะ”

แซมยังไม่รู้เลยว่าสตีฟหมายถึงอะไร แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าสตีฟไม่มีเจตนาร้าย แล้วสตีฟก็ออกไป ทิ้งให้แซมอยู่กับแล็ปท็อปและเอกสารที่ว่า

เขาเปิดมันดู มันคือรูปถ่ายจากกล้องวงจรแถวย่านอาชญากรรม ชายรูปร่างคล้ายบัคกี้สวมหมวก เสื้อกันหนาว แม้กระทั่งใส่ถุงมือหนามิดชิด กำลังเดินตรงไปที่แห่งหนึ่ง แซมเปิดดูเอกสารต่าง ๆ ได้ไม่นานนักสตีฟก็กลับมาในสภาพที่ดูดีขึ้น ชายร่างโตรีบไปอาบน้ำไม่งั้นแซมกระอักฟีโรโมนที่คลุ้งทั่วห้อง ครั้งนี้กลิ่นไม่แรงเท่าเมื่อครู่ แซมเลิกมีอาการร้อนไปทั่วตัวและมีสติมากขึ้น เขาจดความรู้ใหม่ลงในหัว เหงื่อออกทำให้กลิ่นฟีโรโมนแรงขึ้นและกลิ่นทำให้ขาดสติได้ สำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนตรงข้ามที่เป็นอัลฟ่า

กฏง่าย ๆ คือห้ามใกล้อัลฟ่า สบายบรื๋อ

“นี่คือหลักฐานล่าสุดที่นาตาชาหามาได้ เจอชายร่างคล้ายบัคกี้แต่งตัวมิดชิดแบกเป้เดินอยู่แถวย่านนั้น ดูท่าเหมือนหาอะไรสักอย่าง”

สตีฟเอารูปจากกล้องวงจรที่นาตาชารับช่วงหาจากแซมให้ดู โครงหน้าคมคายแม้จะมีเส้นผมและหมวกบังก็ยังเด่นชัดออกมา หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะแซมแค่มองบัคกี้บ่อย จนจำใบหน้าหล่อเหลาน่าหมั่นไส้นั่นได้ทุกตารางนิ้ว เพียงแค่บางส่วนของริมฝีปาก คางและกรามมันก็สามารถกระตุกความสนใจของแซมได้ แจ็คเก็ตสีหม่นทับเสื้อแขนยาวที่ใส่ทับเสื้อยืดด้านในอีกที กางเกงยีนส์เก่า ๆ ตัดกับบูทสีดำ ถุงมือหนาและหมวกแก๊ป เจ้าพ่อเลเยอร์เสื้อ แซมเคยแซว นึกภาพชายท่าทางน่าสงสัยสภาพรุงรังเหมือนคนไร้บ้านที่ดันหน้าตาหล่อระเบิด ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เลือกเสื้อในร้านมือสองแล้วคงตลก แซมดูปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือบัคกี้ไม่มีผิด

เหมือนแซมไม่รู้ตัว สตีฟจ้องแซมนานพอที่จะรู้ว่าริมฝีปากอวบแอบลอบกระตุกยิ้มขึ้นมา นั่นสร้างความสงสัยให้ชายผมบลอนด์เล็กน้อย น่าแปลกที่คนอย่างแซมที่เพิ่งโดนบัคกี้กระโดดใส่รถจนพัง ฉกพวงมาลัยจนหลุด กระชากให้ตกกระแทกพื้น เด็ดปีกฟอลคอลหนึ่งข้างแล้วถีบลงเฮลิแคริเออร์ที่ลอยสูงเหนืออากาศจะยิ้มให้บัคกี้ได้ ในเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เขามองแรงใส่ชายแขนเหล็กอย่างกับนกจิกหนอน ทำไมวันนี้มาผีเข้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับแค่รูปกล้องวงจรได้

นายโรเจอร์สสูดหายใจเข้า ฟีโรโมนของแซมเหมือนจะจับคู่กับบัคกี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ฟีโรโมนเพื่อนของเขาติดแน่นชนิดที่ว่าสตีฟพยายามจะฝังกลิ่นตัวเองกลบก็ยังทำไม่ได้ เขาหรี่ตามองคนข้างกาย เกิดอะไรขึ้นกับแซมกันแน่ หนุ่มผมบลอนด์พยายามหาเหตุผลร้อยพันมาลบความสงสัยตัวเอง ซึ่งเขาจะไม่มีวันหยุดสงสัยเพราะความสมเหตุสมผลแทบไม่มี ยิ่งหาคำตอบยิ่งเพิ่มคำถาม บัคกี้หนีไปนานแล้ว และวันก่อนแซมก็ยังไม่มีกลิ่นอัลฟ่าเลยด้วยซ้ำ

มันแอบทำนายสตีฟ โรเจอร์สหงุดหงิดนิดหน่อย

นัยน์ตาฟ้าทิวาเลื่อนจากริมฝีปากอวบขึ้นมา ก่อนจะสะดุดที่แผลเป็นบนโหนกแก้มใต้ตาข้างซ้าย เขาเชื่อในความจำตัวเองว่าแซมไม่เคยมีแผลนี้มาก่อน เหมือนมนต์แม่มดสะกดให้เขาตกอยู่ในภวังค์ สตีฟยกมือขึ้นแตะไปที่แผลนั่นอย่างเบามือ แซมตกใจหากแต่ก็ไม่ได้ปัดมือออก นัยนาฟ้าราตรีเคลื่อนมาประสานสายตา สตีฟเห็นความหลงใหลเพียงแค่เสี้ยววิ มันไม่ได้ส่งมาหาสตีฟ เขารู้ดี ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นความสับสนและท้อแท้ใต้ม่านดำ ไม่เหมือนแซมเมื่อวานที่ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“นายมีแผลเป็นตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

แซมแตะที่แผลเป็น เขาได้แผลตรงนี้มาเมื่อตอนสู้กับพวกแฟลกสแมชเชอร์ เขาบอกสตีฟไม่ได้ มันคืออนาคตที่สตีฟไม่ได้อยู่แล้ว แซมก็ทำได้แค่บ่ายเบี่ยง กลับมาสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ

“ไม่รู้สิ ก็ไม่นานหรอกมั้ง”

“เครื่องบิน”

“หืม?”

“บัค- บาร์นส์น่าจะไปปล้นเครื่องบินหนี ย่านนั้นเป็นถิ่นพวกอาชญากรข้ามชาติ จะลองไปถามพวกนั้นดูไหมล่ะ”

“พวกเขารู้ว่าเราเป็นใคร ไม่มีทางที่เขาจะให้ข้อมูลกับเรา”

ชายผิวเข้มพยักหน้า แซมรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่อาชญากรจะให้ข้อมูลอะไรกับกัปตันอเมริกา แต่ ณ ตอนนั้น หรือให้พูดให้ถูกต้อง ตอนนี้เขายังเป็นฟอลคอนอยู่ และไม่ได้มีบทบาทกับอเวนเจอร์สมากนัก เขาก็แค่นายทหารอากาศคนหนึ่งที่มาช่วยสตีฟวิ่งไล่จับกับเพื่อนสนิทหลงยุคก็เท่านั้น

“ฉันไปให้ได้นะ”

สตีฟขมวดคิ้ว เขานั่งหลังตรงจ้องเขม็งมาที่แซม ความลังเลฉายเด่นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาหม่นแสงลง สตีฟดูจริงจังขึ้นผิดปกติ

“นายเป็น… โอเมก้านะ มันอันตราย…”

พูดจบแซมก็เบ้หน้าจนสตีฟหน้าเสีย

หมายความว่าไงว่าเขาเป็นโอเมก้า เขาก็เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ไม่ต่างจากสตีฟ เป็นทหารอากาศมากประสบการณ์ มีชุดฟอลคอน แซมไม่เข้าใจว่าแล้วการเป็นโอเมก้ามันจะทำไมนัก ทุกคนดูมีปัญหาเพียงเพราะเพศรองของเขาคือโอเมก้า เหมือนเขาจะถูกตัดสินทันทีเพียงเพราะเกิดมาแบบนี้

“หมายความว่าไง”

“หมายความว่าพวกเขาจะเอาเปรียบจากเพศนาย ฉันรู้ว่านายอัดเขาร่วงได้หมดฉันไม่ห่วงหรอก แต่…”

สตีฟลังเล แซมรู้สึกประหลาดใจ มันยังมีอีกมากที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับโลกนี้แม้ว่าจะเหมือนกันกับโลกของเขาขนาดไหนก็ตาม เขาต้องรู้ให้ได้ อย่างน้อยต่อให้มันอันตรายก็ขอให้รู้จากคนที่เขาไว้ใจ

“แต่… แต่อะไร มีอะไรก็พูดเลยสตีฟ”

“ถ้าเขาแค่ขึ้นเสียงใส่ นายก็ทรุดแล้ว ถ้าจะไปก็พาแนทไปด้วย”

“แค่ขึ้นเสียงใส่ฉันถึงกับต้องทรุดเลยหรอ คือไง โอเมก้าทนฟังเสียงดังไม่ได้หรือไง ไหนนายลองขึ้นเสียงใส่ฉันดู”

สตีฟงง แซมดูไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับตัวเองทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แซมจะหวงตัวมาก มีเพียงแค่เขากับนาตาชาที่แซมเข้าใกล้

“ไม่ ฉันไม่อยากทำ”

“นายพูดให้ฉันสงสัยแล้วนะ เอาเหอะน่าสตีฟ ฉันไว้ใจว่านายไม่ได้จะทำร้ายฉันอยู่แล้ว”

แซมเซ้าซี้ สตีฟสูดหายใจเข้า

 

“แซม อย่าไปเด็ดขาด”

 

เสียงเข้มสั่นถึงแก่นใจกลางอก แล้วแซมก็นิ่ง

ไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากไปแล้ว

เป็นครั้งแรกที่สัญชาตญาณโอเมก้าของเขามันกู่ร้องดังจนกลบความคิดทุกอย่าง จู่ ๆ แซมก็ตัวสั่น เหงื่อไหลตัวร้อนใจเต้นรัว เขาเลิดจดจ้องรูปบัคกี้ ร่างกายสั่งให้เขาหันมามองอีกฝ่ายอย่างยอมจำนน สมองปิดรับสารข้อมูบทุกอย่าง แม้แต่เหตุผลหรือความต้องการของตัวเอง อยากฟังแค่เสียงที่สตีฟจะพูด ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ราวสตีฟสะกดจิตแซมให้เชื่องโดยพลันเพียงแค่เสียงเข้มที่ไม่ได้ดังก้องราวระฆัง แค่ลมปากเบาหวิวก็ทำเอาแซมก้มทรุดลงกับตักตัวเอง เขาไม่อยากไปแล้ว แซมเอาแต่คิดวนซ้ำ ๆ เพียงเพราะสตีฟบอกให้ทำ

ความกลัวสั่นประสาทแซม รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใด กลัวจนเขาไม่อยากเข้าใกล้สตีฟ แซมไม่ต่างอะไรกับลูกแกะ กลัวแทบตายก็ทำได้แค่ขาสั่นรอหมาป่าขย้ำ แซมรู้ว่าชีวิตไม่มีความเท่าเทียม แต่นี่คือขั้นกว่าของฝันร้าย โอเมก้าสามารถโดนสะกดจิตได้ง่าย ๆ ถ้าอัลฟ่าคนไหนอยากจะทำ แม้แต่สิทธิในร่างกายและความคิดยังไม่เป็นของเขาโดยแท้จริง ชีวิตที่ต้องเป็นโอเมก้าก็ไม่มีวันเป็นอิสระได้ มีหน้าที่แค่เป็นตัวผลิตประชากร ไม่มีวันที่ได้เป็นคน

เขานิ่งไปสักพักใหญ่จะพอได้สติเขาก็เช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลออกมา สตีฟสีหน้าสลด เขาดูรู้สึกผิดและแย่ไม่ต่างจากแซม

“แซม ฉันขอโทษ… ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้จะทำร้ายนาย สาบานได้ อย่าไปคนเดียวเลย มันอันตราย”

แซมรู้แล้วว่าเป็นโอเมก้าแล้วมันทำไม

มันอ่อนแอแบบนี้นี่เอง

“ได้.. ได้ แล้วเมื่อกี้มันคืออะไร นายทำได้ยังไง”

“มันคือเสียงอัลฟ่า มีไว้ข่มเบต้ากับโอเมก้า มันโหดร้ายเลยไม่มีใครใช้เสียงนี้ แต่กับอาชญากรก็ไม่แน่ ฉันเลยไม่อยากให้นายไปคนเดียว”

“แม่ง เหมือนฉันโดนผีสิงเลย”

“ฉันขอโทษจริง ๆ แซม ฉันไม่น่าพูดให้นายสงสัย ฉันแค่เป็นห่วงนายจริง ๆ ”

“อย่างน้อยฉันก็รู้เรื่องพวกนี้จากนาย”

แซมหัวเราะเบา ๆ ไม่ให้บรรยากาศเสีย สตีฟก็ยังหน้ายู่ไม่หาย แซมไม่ว่าอะไรเพราะเขาต้องการรู้กฏธรรมชาติที่นี่ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะออกไปเจออะไรก็ตามที่จะทำให้เขาเสียใจภายหลังเพราะความไม่รู้ ทั้งสองพยายามกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าเหมือนเดิม แม้จะห้อมล้อมด้วยบรรยากาศอึดอัดที่ไม่คลี่คลาย

สตีฟกดเปิดคลิปกล้องวงจรที่นาตาชาหามา บาร์นส์เดินตรงเข้าอาคารหนึ่งก่อนที่มันจะระเบิดออก ภาพกล้องวงจรแถวนั้นก็ดับพร้อมเพียงกัน เหลือหลักฐานถึงร่องรอยเพียงแค่นี้

“ไม่มีใครแจ้งตำรวจ ก็ไม่แปลกอะนะ มันน่าจะมีคนรอดที่เห็นตัวบาร์นส์”

ชายร่างโตพยักหน้า เขาเปิดอีกคลิป เป็นภาพชายคนเดิมในอีกมุมที่กำลังซัดคนร่วงไปทีละคนสองคน ใช้แขนข้างซ้ายบังกระสุน เพียงแค่นี้ทั้งสองก็มั่นใจว่านั่นคือเจมส์ บาร์นส์

“งั้นเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปปล้นอาชญากรพวกนี้เอาอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเครื่องบินจริงเขาคงหนีไปแล้ว แต่ที่ไหนนี่แหละ”

สิ้นเสียงสตีฟเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์แซมก็ดังขึ้นมา ข้อความป็อปอัพจากซาร่าห์เด่นหราอยู่กลางหน้าจอ

‘แซม ไหนบอกว่าจะกลับหลุยเซียน่าวันนี้ไง ไม่เห็นทักบอกอะไรเลย’

ฉิบหายตัวโต ๆ

เขาลืมไปได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังจะกลับไปหลุยเซียน่าเยี่ยมซาร่าห์และหลาน สตีฟก็เพิ่งพูดย้ำไปเมื่อคืนแท้ ๆ แซมกัดฟัน เขาวางแผนไว้ในหัวแลัวว่าจะพยายามค้นเบาะแสให้ไวที่สุดเพื่อสตีฟจะให้เขาไปตามติดดูบัคกี้ที่ยุโรป ถึงตอนนั้นเขาจะได้ไม่ต้องมาปวดหัวว่าใครจะจับผิดเขาเรื่องทำตัวแปลก ไกลสายตาผู้คน ไกลจากการก่ออินเคอร์ชั่น แซมจะได้อยู่ในจักรวาลนี้แบบสงบสุขเสียที สตีฟที่เผลอเหลือบตาไปเห็นก็ทักท้วง

“น่าจะบอกเธอนะว่านายเพิ่งโดนมอเตอร์ไซค์ชน”

แซมยิ้มโล่งอก จริงด้วย เขาเพิ่งโดนชน เป็นข้ออ้างได้ว่าทำไมยังไม่มาถึงเสียที

แซมรีบโทรคุยกับซาร่าห์ทันที อธิบายทุกอย่างให้ฟังจนเธอหมดข้อสงสัย สตีฟหันไปสนใจแล็ปท็อปของตัวเอง เขาเห็นบัคกี้หยิบของนู่นนี่จากพวกอาชญากร กระเป๋าใส่อะไรบางอย่าง ปืน ระเบิดและเงินกองใหญ่ก่อนจะระเบิดอาคารทิ้ง นายโรเจอร์สส่ายหน้า ถ้าไม่ติดว่าเขาไม่ได้อยู่ยุคสงครามโลกแล้ว เขาจะไปฟ้องแม่บัคกี้ให้เธอหยิกหูลูกตัวดีสะให้เข็ด ปล้นเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องระเบิดอาคารทิ้งยั่วโมโหพวกมาเฟียให้ตามล่าเล่น สตีฟรู้ว่าเขาก็เป็นซุปเปอร์โซลเยอร์ แต่ทำแบบนี้ไปชั่วชีวิตก็ไม่มีวันสงบสุขได้

“โอเค คุยเสร็จแล้ว มีอะไรเพิ่มไหม”

สตีฟชี้ไปยังคลิปที่เขาเห็น

“คงจะปล้นเตรียมหนีจริง ๆ นั่นแหละ งั้นถ้านายจะไปฉันก็จะไปด้วย ฉันจะรอด้านนอก ส่วนนายกับแนทก็เข้าไปจัดการ ไว้เรามาตกลงคุยเรื่องแผนกันอีกที”

แซมยิ้ม ก่อนจะตบเบา ๆ ที่ตักสตีฟ

“ขอบใจที่เป็นห่วง”

สตีฟยิ้มตอบ แซมเห็นประกายในแววตาที่มองมาที่เขา เด่นชัด สว่างเทียบเท่าดาวศุกร์บนฟ้ามืด การข้ามจักรวาลครั้งนี้เหมือนได้เห็นดาวฤกษ์ดวงเดิมอีกครั้งก่อนที่มันจะระเบิดเป็นซุปเปอร์โนว่า เหลือทิ้งไว้แค่ซากความสวยงามของเนบิวล่าและกลายเป็นหลุมดำที่กัดกินใจแซมจนถึงทุกวันนี้

 

“นั่นไง”

นาตาชาชี้ไปยังอาคารที่เกิดเหตุระเบิด สภาพตึกแหว่งไปแต่ก็ไม่ได้เสียหายมากนักจากตอนแรก ยังมีเคล้าสภาพเดิมอยู่บ้าง อาคารในย่านนี้ไม่สูงมาก แค่แฟลตสี่ห้าชั้นธรรมดาเรียงรายกันเป็นกลุ่มก้อน ที่นี่เป็นสลัมขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรมมากมาย ฆาตกรรม แก๊งค์มาเฟีย ยาเสพติด อาวุธสงคราม ของใต้ดินทุกอย่างที่นึกได้รวมกันอยู่ในนี้ ไม่แปลกที่บัคกี้จะเลือกมาหาของเพื่อลักลอบหนี มีผู้คนประปรายตามสองข้างทาง รถสัญจรไปมาไม่ต่างจากย่านอื่น ๆ ในเมืองใหญ่ ที่นี่แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองอื่น หากว่าความจริงของมันซุกซ่อนสิ่งเลวร้ายไว้มากมาย

ทั้งสามอยู่ในรถเช่าเก่า ๆ คันหนึ่ง จอดอยู่ตรงข้ามอาคารเป้าหมายห่างไปประมาณสามช่วงตึก สาดส่องดูลาดเลาทางหนีเตรียมพร้อมรับมือเมื่อหากโดนโจมตี สตีฟอยู่ในชุดแจ็คแก็ตหนังและยีนส์ดำพร้อมหมวกไอ้โม่งปิดใบหน้า นาตาชาและแซมไม่ได้ปกปิดเท่าสตีฟหากแต่ก็สวมหมวกแก็ปบังไม่ให้ใครสังเกตได้

แซมที่นั่งด้านหลังหันมองไปรอบ ๆ เขาจำได้ว่าเข้าไปจะได้เจอหลักฐานชิ้นสำคัญในการระบุที่หมายในการหลบหนีของบัคกี้ พวกมาเฟียกำลังเจาะระบบระบุเป้าหมายของเครื่องบินที่โดนขโมยไปจนตามเจอว่าอยู่แถวชายแดนประเทศหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดก็หาหลักฐานอื่นไม่ได้ แซมต้องเสาะหาเอกสารลับมากมายกว่าจะเจอแค่รูปเดียวที่บ่งบอกถึงตัวบัคกี้ ซึ่งใช้เวลาอีกสองเดือนนับจากนี้กว่าจะค้นพบ มันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะหาเจอแม้รู้อยู่แล้วว่าบัคกี้จะไปซ่อนที่โรมาเนีย

แอนเชี่ยนวันบอกว่าเหตุการณ์มันต้องเกิดเหมือนอย่างเคย ดังนั้นพวกเขาต้องเสียเวลาไปพักใหญ่กับการวนหาอยู่แถวจุดพบเครื่องบิน ทั้ง ๆ ที่ความจริงเครื่องบินนี้คือจุดหลอก บัคกี้ทิ้งไว้สักที่หนึ่งก่อนจะหนีไปอีกทางสับขาหลอกใครก็ตามที่จะตามหาเขา นาตาชาและสตีฟต้องออกไปตามหาแถวจุดพบเครื่องบินนั่น แล้วโดนลอบโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ที่เข้าใจผิดว่าสตีฟและนาตาชามาจัดการพวกเขา ทำให้ทั้งสองออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้โดยเฉพาะนาตาชาที่บาดเจ็บหนัก เหลือแซมคนเดียวที่ต้องไปตามหาบัคกี้เองที่โรมาเนีย เท่ากับว่าแซมต้องปล่อยให้สตีฟและนาตาชาไปเจอพวกอาชญากร เพื่อเปิดทางให้เขา

แซม… ไม่อยากทำแบบนั้น ปล่อยให้เพื่อนไปเสี่ยงทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้อยู่เต็มอกว่าอะไรรอพวกเขาอยู่ แซมไม่มีวันให้อภัยตัวเองที่รู้ว่าช่วยได้แต่ก็เลือกจะเมินเฉย กฏจักรวาลไม่ให้ข้อยกเว้นกับใคร และมันก็ไม่ได้สนใจถึงเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางชีวิตนับล้านล้าน ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิด จักรวาลจะมีรอยแยกและล่มสลายในที่สุด เพื่อนโดนทำร้ายมันก็แย่พอแล้ว แต่เป็นต้นเหตุให้จักรวาลถล่มและทุกคนตายก็หมดค่าของการเป็นฮีโร่ จะไปช่วยใครได้ถ้าในเมื่อตัวเองเป็นคนล้างมิติความเป็นจริงจนไม่เหลืออะไรเลย ถ้าแบบนั้นจะเป็นกัปตันอเมริกาไปทำไม

“ทวนแผนกัน เราจะไม่เข้าไปคุย ต้องแอบเข้าไปหาอะไรก็ได้ในนั้นที่พอจะเป็นหลักฐาน ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพวกแก๊งค์มาเฟียนี้โมโหบัคกี้มาก ๆ มีการพยายามตามหาบัคกี้เหมือนเรา เราต้องรู้ให้ได้ว่าพวกนั้นรู้อะไรกันบ้างแล้ว ห้ามให้ใครเห็น ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็รีบออกมาเลย ฉันจะรอรับอยู่ข้างนอก”

น้ำเสียงขึงขังไม่ต่างกับตอนวันก่อนที่สตีฟเคยสาธิตเสียงอัลฟ่าให้เขา มันไม่มีความกดดันอยู่ในนั้น ก็แค่คนพูดปกติทั่วไป หากแต่เสียงนั่นยังคงหลอกหลอนแซมให้เขาไม่อยากเข้าไปในนั้น มันเหมือนเสียงข้างหูที่คอยรั้งแซมไว้ให้เขารู้สึกอึดอัดตลอดเวลา แซมไม่กลัวและตัวตนของเขาจริง ๆ อยากจะเข้าไปในนั้นแทบแย่ หากแต่เสียงอัลฟ่าของสตีฟมันยังไม่จางหายดี มันบังคับให้แซมอยากหนีไปให้พ้น ๆ จากที่แห่งนี้แม้เขาไม่อยากเลยสักนิด

เลวร้ายที่สุดคือแผลโดนรถชนยังปวดระบมอยู่ แม้จะบรรเทาแต่ก็ไม่ได้แข็งแรงเต็มร้อย ความกังวลของแซมกลบความเจ็บปวดจนไม่รู้สึก มัวสู้อยู่กับสัญชาตญาณตัวเองที่เอาแต่ห้ามเขาเข้าไปในตึกนั้น

แซมแค่จับขอบประตูรถเขาก็อกสั่นรัว

‘โคตรน่ารำคาญ ไม่น่าอยากรู้เลย ไอ้เสียงอัลฟ่าบ้าบออะไรนั่นแม่งน่ากลัวกว่าที่คิดอีก จะใช้ชีวิตยังไงให้ไม่ตายหรือทำโลกแตกก่อนวะ’ แซมบ่นในใจ

เขาได้ค้นอินเตอร์เน็ตทั้งคืนก็พบว่าเสียงอัลฟ่าจะบังคับโอเมก้าได้เพียงชั่วขณะนั้น และต้องรอเป็นอาทิตย์กว่าคำสั่งนั้นถึงจะปลดพันธนาการออกได้ นั่นก็คือร่างกายเขาจะทำตามที่สตีฟบอกทันที ฝ่าฝืนไม่ได้ แต่สักพักก็จะกลับมาบังคับร่างกายเองได้อีกครั้ง จะยังคงมีความอยากจะทำตามคำสั่งนั่นอยู่ในหัวเรื่อย ๆ จนกว่าจะเสียงจะหมดอำนาจเหนือจิตใจโอเมก้า ซึ่งตอนนี้อำนาจเสียงอัลฟ่าของสตีฟยังไม่หมดไปจากจิตของแซม

“โอเค พร้อมมั้ย”

นาตาชาหันมาหาเขาที่นั่งอยู่เบาะหลัง เธอเห็นเขาเหม่อลอยจึงทักเรียกสติ แซมหลุดจากภวังค์ก่อนจะตั้งใจจดจ่อกับภารกิจ

“ดี พร้อม เกือบเต็มร้อย”

ทั้งสองเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนจะออกจากรถ อ้อมตึกเข้าทางหน้าต่างชั้นสองที่เป็นช่องโหว่ไม่มีใครเห็น มันเป็นอาคารสามชั้น ที่ชั้นแรกตรงประตูโดนระเบิดไปบางส่วน ก่อนหน้านี้เป็นที่อยู่อาศัยธรรมดาไว้ตบตาตำรวจ ชั้นสองและสามเป็นที่เก็บอาวุธสงครามและยาเสพติด ซึ่งเป้าหมายคือสองชั้นบน เมื่อเข้ามาได้ทั้งคู่ก็รีบหลบหลังตู้เก็บของคนละมุมห้อง นิ้วอยู่ในไกปืนพร้อมลั่นตลอดเวลา อัลฟ่าสาวมองหน้ากับโอเมก้าหนุ่มคุยกันผ่านสายตา ให้สัญญาณกันว่าฝั่งของตัวเองปลอดภัยดี เธอตรวจดูในอุปกรณ์ที่ฉายให้เห็นถึงภาพรังสีความร้อน มีคนอยู่ในชั้นนี้ประมาณห้าคน กำลังหมกมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนลดการ์ดป้องกันตัว ซึ่งข้อมูลในนั้นน่าจะเป็นหลักฐานได้

“ทำไมเราไม่มาตอนที่พวกมันไม่อยู่นะ”

นาตาชาบ่นอุบอิบ

“พวกนั้นไม่ออกไปไหนมาไหนตั้งแต่บาร์นส์ระเบิดตึก คงกะจะไปล่าหัวแน่”

“แบบนี้เราน่าจะปล่อยให้พวกนั้นเป็นคนหานะ”

แซมลดปืนลง นั่นสิ ทำไมตอนนั้นเขาคิดไม่ได้กันนะ

“มีห้าคนอยู่อีกห้องกำลังดูคอมอยู่ คาดว่าน่าจะเรื่องบาร์นส์ แผนว่าไงดี ไม่ทำอะไรคงรอแบบนี้ทั้งวัน” โรมานอฟพูด

“งั้นเราก็จัดการมันทีละคน สตีฟไม่ได้บอกว่าห้ามทำอะไรนี่”

“ก็จริง เจ็บอยู่ยังจะห้าวนะนายน่ะ”

เขาไหวไหล่ แซมยื่นตัวออกมองไปรอบ ๆ เมื่อรู้ว่าตรงที่พวกเขาอยู่ไม่มีใครเฝ้าเขาก็ใช้จังหวะนี้สำรวจรอบชั้น มันเป็นห้องลานกว้างมีประตูต่ออีกห้อง โต๊ะเก้าอี้เก่า ๆ ไม่กี่ตัว และชั้นวางของมากมายที่เต็มไปด้วยกล่องหนาทึบ คาดว่าคือของตลาดมืดทั้งหลาย บันไดที่ต่อขึ้นไปชั้นสามมีประตูปิดไว้ แซมคิด ถ้าล่อคนในห้องออกมาต้องแน่ใจว่าคนบนชั้นสามต้องไม่มาสมทบ และต้องเก็บทีเดียวให้ไวที่สุด เข้าไปดูว่าพวกนั้นกำลังค้นหาอะไร ซึ่งจากความทรงจำของเขาที่ค่อนข้างจะมั่นใจ พวกมาเฟียกำลังแกะรอยตามเครื่องบินบัคกี้

ซึ่งแซมจำไม่ได้ว่าเครื่องบินไปจอดอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาต้องรู้ให้ได้ ห้ามพลาดเด็ดขาด

“เอางี้ เธอเฝ้าที่บันไดชั้นสามแล้วคอยช่วยถ้ามีคนหลุดไป ฉันจะจัดการเอง ฉันจะเข้าไปดูข้างใน ถึงตอนนั้นพวกนั้นคงแห่กันลงมา เธอก็ฉายเดี่ยวเลย”

“เอาจริงดิ สตีฟบอกว่าแอบไม่ใช่หรอ แผลนายก็ยังไม่หายดีด้วย”

“ฉันคิดได้แค่นี้พูดตรง ๆ แผนเผินอะไรฉันไม่มีหรอก มันจะแอบยังไงเล่า ปิดห้องมิดชิดขนาดนี้”

นาตาชาพยักหน้า เธอก็เห็นด้วยว่ามันไม่มีทางจะแอบเข้าไปได้เลยนอกจากจะให้พวกนั้นเป็นคนออกมาเอง

“โอเค ฉันว่าเลี่ยงการปะทะกันจะดีกว่า เสียงมันดัง ดีนะฉันพกยาสลบมา อะนี่ ปิดปากพวกมันด้วยนี่ดีกว่า ถ้ามันหลุดมาฉันจะฟาดมันเอง”

แซมรับผ้าที่ชุ่มด้วยยาสลบจากนาตาชา ทั้งคู่รีบวิ่งไปประจำการในตำแหน่ง นาตาชาเฝ้าระวังอยู่ตรงบันได ส่วนแซมยืนอยู่หน้าห้องลับ ในเวลาโพล้เพล้แดดส้มผสมเงามืด บรรยากาศโดยรอบดำสนิทยากจะมองเห็น มีเพียงแค่ลำแสงสีแสดจากหน้าต่างเป็นตัวนำสายตา ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของผู้บุกรุกทั้งสอง แซมหายใจเข้าลึก ๆ เขาเป็นทหาร ต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านสนามรบและศึกกับเอเลี่ยนมาแล้ว กับไอ้แค่โจรเหี้ยมทำไมเขาจะจัดการไม่ได้ มันจะไม่เป็นอะไร เพราะในอดีตเขาก็ทำแบบนี้ และมันก็ราบรื่นได้ผลดี

ไม่… อยากอยู่ที่นี่…

โอเมก้าในตัวเขาเริ่มตื่นอีกครั้ง มันยังโดนพันธนาการด้วยคำสั่งของอัลฟ่า มันทำให้เขาหวาดวิตก แซมเริ่มเสียสมาธิเพราะเขาต้องพยายามสู้กับความเป็นโอเมก้าของตัวเอง มือค้างที่ประตูหวังจะเคาะ หากมันค้างนิ่งจนนาตาชาที่ยืนอยู่ต้องส่งสัญญาณเตือน

“แซม! ทำห่าอะไรวะ ใช้กำลังภายในรึไง” นาตาชาถลึงตามอง

“แนท! หุบปาก” แซมกัดฟัน แต่เขาก็ขอบคุณเธออยู่ดีที่เรียกสติ

มือหนาเคาะประตูสองครั้งเป็นจังหวะทิ้งห่างกัน พยายามไม่ให้เหมือนคนเคาะเรียกปกติ เสียงเท้าเดินย่ำตรงมา เมื่อประตูเปิดออกแซมที่แอบอยู่ในมุมอับสายตาในฝั่งหลังประตูก็รีบรัดคอชายคนหนึ่ง มือโปะผ้ายาสลบปิดปากแน่น ชายร่างเล็กกว่าแซมพยายามดิ้นส่งเสียงร้อง แต่นายกัปตันอเมริกาที่แข็งแรงกว่าก็ลากร่างชายคนนั้นให้ห่างจากประตูไม่ให้เสียงดังเกินไป จนเขาแน่นิ่ง แซมก็มั่นใจว่าสลบเรียบร้อยแล้วหนึ่งราย

“เสียงอะไรน่ะ เฮ้ แดนนี่”

ไม่ทันได้วางร่างชายชื่อแดนนี่ลงอีกคนก็เดินออกมาจากประตู นาตาชารีบแอบในมุมมืด แซมยกแขนนายแดนนี่ที่นอนแอบอยู่หลังชั้นวางของขึ้น กวักเรียกชายอีกคนให้เข้ามา

“อะไรวะนั่น” เขางึมงำแต่ก็เดินมาอย่างรำคาญ ไม่ได้เอะใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเดินมาถึงตรงที่แดนนี่นอนสลบ แซมก็กระชากชายอีกคนเข้ามาหลังชั้นวาง รัดคอเขาแน่นกบปากด้วยผ้ายาสลบ ชายคนนี้ดิ้นทุรนทุรายหนักกว่าแดนนี่ ขาเตะชั้นวางจนสะเทือน แต่ไม่นานก็สลบตามไปอีกคน

“โทษทีนะ” เสียงแซมแผ่วเบาราวกระซิบ

เสียงเตะชั้นวางของดังพอจะให้คนในห้องอีกสองคนหันมาสนใจข้างนอก แซมเหงื่อตก ร่างกายของเขาอยากจะกระโดดออกนอกหน้าต่างทุกวินาที ในตอนแรกอาการมันยังไม่หนักเท่านี้ ความเครียดทำให้เขายิ่งแพ้เสียงอัลฟ่าที่สะกดจิต และเมื่อเหงื่อออกเยอะกลิ่นตัวของเขาก็แรงขึ้น ง่ายต่อการโดนจับ ขณะหนึ่งก็รู้ตัวได้ว่ากลิ่นอัลฟ่าคนคุ้นเคยเข้มออกมา มันไม่ใช่ทั้งของแดนนี่หรือชายอีกคน มันมาจากเขาเอง เป็นครั้งแรกที่แซมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอัลฟ่าของบัคกี้ มันไม่ได้อ่อนโยนแบบนาตาชาหรืออบอุ่นแบบสตีฟ มันดิบ คล้ายคาวเลือดในหน้าหนาว ราวกลิ่นไอลมหายใจของหมาป่าที่วิ่งล่าเหยื่อ อันตรายหากแต่น่าประหลาดมันทำให้แซมได้สติและกังวลน้อยลง มันทำให้แซมรู้สึกปลอดภัยขึ้น แม้จะเล็กน้อย จนรู้สึกตัวอีกทีสองคนที่ตามออกมาอยู่หลังชั้นวางของแล้ว

“เห้ย กลิ่นนี่มัน- ไอ้ชาติชั่วที่มาระเบิดตึกเรานี่”

 

ฉิบหาย

 

พวกนั้นได้กลิ่นบัคกี้จากตัวเขา

นาตาชาเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาสมทบ ฟาดกระบองเข้าท้ายทอยแค่ให้แรงพอสลบ ส่วนชายอีกคนแซมก็ใช้วิธีเดิมปิดปากวางยา จนแน่นิ่งไปสองคนกับพื้น แซมหอบ เขายังตื่นตระหนกอยู่ หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงชะงักไปเสียอย่างนั้นจนเกือบโดนเล่นงานเอง ที่แน่ ๆ กลิ่นอัลฟ่าจากตัวโอเมก้ามันแรงจนทำให้อัลฟ่าอีกคนอย่างนาตาชาถอยหลัง อัลฟ่ากับอัลฟ่าทนกลิ่นกันเองไม่ค่อยจะได้นัก กลิ่นบัคกี้ตอนนี้มันข่มขู่ให้ออกห่างอะไรก็ตามที่เป็นของเขา คงเป็นเพราะแซมหวาดระแวงจนเร่งฟีโรโมนคู่อัลฟ่ามาปกป้องตัวเอง

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าแซม ถ้าเสร็จจากนี่แล้วเราต้องคุยกันนะ ยังไหวอยู่ใช่ไหม”

“ได้… ได้ ไหว ต่อกันเลย รีบทำให้เสร็จดีกว่า”

แซมไม่สนใจอะไรแล้ว เขาวิ่งเข้าห้องนั้นไปเจอชายคนสุดท้ายยกปืนขึ้นมาขู่ดักทาง แซมผงะ ชายคนคนนั้นสำรวจตัวแซมที่ยืนอยู่ในความมืดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ไม่ยักรู้ว่าไอ้เวรนั่นมีคู่สะด้วย มาตามเช็ดขี้ให้มันหรือไง”

‘มาลอกงานต่างหาก’ แซมคิด ก่อนเขาจะเอะใจอะไรบางอย่าง เขาไม่ควรยื้อเวลา

“หมอนั่นไม่ใช่คู่ฉัน วางปืนนั่นลง ฉันไม่อยากทำร้ายนาย”

“ใครจะโง่เอาลงวะ”

นาตาชาที่หลบอยู่หลังประตูแอบยิงลูกดอกยาสลบใส่ชายถือปืน เขาล้มลงจ้องแซมเขม็งด้วยสายตาเคียดแค้น แววตาที่แซมเจอมานับไม่ถ้วน เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันนัก ชินชาแล้วกับความแค้นที่จ้องมายังเขา แซมกำลังโล่งใจ แผนการไล่เก็บเงียบเชียบเป็นไปได้ด้วยดี

“มีผู้บุกรุก!!”

ชายคนนั้นตะโกนก่อนจะสลบ

 

ฉิบหาย

 

เสียงตึงตังจากชั้นสามบ่งบอกว่าข้างบนนั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเขาแล้ว แซมรีบพุ่งไปยังคอมพิวเตอร์ที่กำลังเจาะระบบค้นหาเครื่องบินอย่างที่เขาคิด แซมพยายามหาว่าเครื่องบินมันตกอยู่ที่ไหนแต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่ได้

‘ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ตอนนั้นไม่ใช่แบบนี้! ซวยแล้ว’

เพียงแค่เสี้ยววิที่ชายคนนั้นพูดถึงฟีโรโมนมันก็ย่นเวลาช้าลง ทำให้นาตาชายิงลูกดอกช้า ยาออกฤทธิ์ช้า ชายคนนั้นมีเวลาพอจะตะโกนเสียงสุดท้าย แค่ไม่กี่วิก็สร้างข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงขึ้นมา

“แซม! รีบหาเลย! พวกมันกำลังมา!”

นาตาชาร้องเตือน แซมกดอะไรก็ตามบนหน้าจอนั่นที่ให้เขากดได้ เลื่อนหานู่นนี่นั่น พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่อยู่ของเครื่องบิน เขาไม่เจออะไรเลย หรือบางทีเขายังหาได้ไม่ลึกพอ เวลากระชั้นชิดทำให้แซมลนลานและเขาก็ไม่มีเวลามากพอเหมือนอดีต

เสียงกระแทกประตูและเตะต่อยดังออกมาจากข้างนอก นาตาชากำลังสู้กับพวกที่มาจากชั้นสามอย่างดุเดือด ไฟลนก้นแซมแต่เขาก็ยังหาไม่ได้เสียที จนอะไรสักอย่างสะดุดตาแซม ภาวนาขอให้มันเป็นสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่

“เห้ย!”

มีดที่ปาด้วยความเร็วปักเข้ากลางหน้าจอที่แซมกำลังดูอยู่ หน้าจอแตกดับก่อนที่แซมจะได้เห็นอะไร

อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว! ทำไม ทำไม!

“ไอ้เหี้ยเอ้ย!”

ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจับศีรษะแซมจากด้านหลังแล้วทุ่มลงกับโต๊ะ เขามึนหัวเล็กน้อยก่อนจะพยายามพลิกตัวขึ้นมาสวนหมัดใส่ ชายร่างหนาคนนั้นหลบได้แล้วถีบแซมกระเด็นไปยังประตู เขาตั้งท่าหมัดอย่างขึงขัง เดินมาหาแซมหวังจะซัดเขาให้จมพื้น แซมหันไปเห็นนาตาชาที่เริ่มเอาไม่อยู่เพราะพวกนั้นมีเยอะกว่าที่คิด แค่โดนกระแทกโต๊ะกับถีบกระเด็นไม่ทำให้เขาบาดเจ็บอะไรนัก แต่ก็ทรุดลงไปเพราะแผลจากโดนรถชนยังไม่หายดี

ใครแม่งจะสู้ต่อวะ ไม่อยู่แล้วโว้ย

แซมขอบคุณที่ชายคนนั้นถีบเขามายังประตู ชายบาดเจ็บลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนงงอยู่ในห้อง

แซมรีบวิ่งเข้าไปช่วยนาตาชา ดึงเธอออกมาจากดงฝ่ายตรงข้ามก่อนจะพาวิ่งหนี โชคดีที่อาคารนี้ใหญ่พอให้วิ่งแล้วทิ้งระยะได้

“ผิดแผน! เราต้องกระโดดแล้ว”

นาตาชาพูด เบื้องหน้าเป็นหน้าต่างติดกับฝั่งถนนที่สตีฟรอเยื้องออกไป แซมมองด้านล่าง ถ้าเขาแข็งแรงกว่านี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร

“แกตายแน่!”

เสียงตะโกนไล่หลังมาของพวกแก๊งค์มาเฟียทำให้ทั้งคู่เลิกคิดอะไรทั้งนั้น กระโดดลงจากชั้นสองกระแทกพื้นกลิ้งไปตามถนน พวกนั้นยิงปืนไล่หลังมา นาตาชาที่หมุนตัวลุกได้ก่อนก็รีบกระชากแซมให้ลุกจากพื้น วิ่งหลบลูกตะกั่วที่จะเจาะกระบาลพวกเขากลางถนน

“เล่นใหญ่ตลอด”

สตีฟที่รอในรถเปิดประตูรอไว้ ทั้งสองที่วิ่งหนีมาก็รีบขึ้นรถ ไม่ต้องบอกอะไรมากสตีฟเหยียบคันเร่ง ขับหนีออกจากตึกนั้นอย่างไม่คิดชีวิต แซมหันไปด้านหลังก็เจอพวกมาเฟียมายืนออกันตรงถนน ยิงหวังจะเจาะล้อรถแต่ก็ไม่เป็นผล สตีฟขับทิ้งช่วงไปไกล จนลับสายตาในที่สุด

แซมถอนหายใจ นอนราบลงที่เบาะหลัง พออะดรีนาลีนหยุดหลั่ง ความกลัว ความกังวลและอาการบาดเจ็บก็กลับมาเล่นงานย้อนหลัง มาเฟียพวกนั้นได้กลิ่นบัคกี้จากเขา แถมยังจำมันได้ดีอีกด้วย แซมพยายามไม่ใส่ใจ แต่เขาก็รู้สึกถึงเรื่องไม่ดีที่จะตามมา

“แล้วได้อะไรบ้าง พวกนั้นสืบสาวกันถึงไหนแล้ว”

 

ฉิบหาย

 

สตีฟถามขณะขับรถ นาตาชาหันมาหาแซมที่นอนตาค้าง เมื่อได้ยินแบบนั้นแซมก็หลับตา เขาใจเต้นแรงจนกลัวว่าเพื่อนอีกสองคนจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา

ไม่รู้

เขาไม่รู้

ไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนั้นไปอยู่ที่ไหน

ที่มาวันนี้เสียเปล่าทั้งหมด

ถ้าเขาไม่รู้ว่าเครื่องบินพวกนั้นไปอยู่ที่ไหน นาตาชาและสตีฟก็จะไม่ได้ไปที่แห่งนั้น แล้วเขาก็จะไม่ได้ไปโรมาเนีย เวลาการตามหาบัคกี้ก็จะผิดเพี้ยนไปจากเดิม

“แซม” สตีฟเรียก

เขาต้องคิด เขาต้องคิดให้ได้ จะโทรหาแอนเชี่ยนวันก็ไม่ได้ สตีฟกับนาตาชาจะสงสัยกว่าเดิม

เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้แซมได้ไปโรมาเนียคนเดียว เพราะนาตาชาและสตีฟบาดเจ็บจากการไปผิดที่

แล้วมันสำคัญมากเลยหรือเปล่าที่จะต้องไป?

ถ้าสตีฟกับนาตาชาไม่ได้ไปที่นั่น แต่เขาก็ยังสามารถไปที่โรมาเนียได้โดยไม่ต้องรอสตีฟสั่ง มันจะบิดเหตุการณ์จักรวาลไหม แค่เขาทำผิดวิธีที่ควรจะเป็นแต่ผลลัพธ์คือเขาต้องไปโรมาเนียคนเดียวเหมือนเดิม มันทำได้หรือเปล่า แค่ข้ามเหตุการณ์หนึ่งไปแม้ผลจะเหมือนเดิม มันจะส่งผลอะไรกับจักรวาลอยู่ไหม

“แซม เป็นอะไรไหม” นาตาชาพูด

สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือการหาตัวบัคกี้ให้ทันเวลา ถ้าเหตุการณ์ที่ไม่ได้ส่งผลอะไรไม่เกิดขึ้น รูปแบบของจักรวาลก็ยังคงเหมือนเดิม แล้วการไปหาเครื่องบินมันยังมีค่าอยู่ไหมในเมื่อแซมรู้อยู่แล้วว่าต้องไปหาวินเทอร์โซลเยอร์ที่ไหน

ต่อให้แซมอยากทำตามเหตุการณ์ให้เหมือนอย่างเดิมขนาดไหน เขาก็จำเหตุการณ์ไม่ได้ทั้งหมด และตอนนี้ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง การเดินของเส้นเวลาจะเริ่มเปลี่ยนไป

แล้วถ้าเขาพูดมั่ว ๆ ให้สตีฟและนาตาชาไปเสียเวลาเล่นที่อื่นแทน แล้วเขาก็แยกไปที่โรมาเนียก่อนล่ะ ถ้าบอกไปโต้ง ๆ ว่าโรมาเนียเลยและขอไปคนเดียว มันก็น่าสงสัยเกินไป สองคนนั้นจะสงสัยกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเขารู้ละเอียดของบัคกี้ขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าแยกกันไปคนละที่ มันก็จะมีเวลามากพอให้หลอกตบตาว่าระยะเวลาที่สตีฟและนาตาชาไม่อยู่ แซมได้รู้ข้อมูลเยอะขึ้น และจะได้แยกตัวเองออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองพูดอะไรโง่ ๆ อีก

เขาจะโกหกว่าเจอสองประเทศ ให้สตีฟและนาตาชาไปอีกประเทศหนึ่ง ส่วนแซมจะไปโรมาเนีย ในอดีตแซมกว่าจะได้ไปโรมาเนียก็ตอนหลังจากนาตาชาและสตีฟกลับมา แต่ตอนนี้เขาเลือกจะไปเองโดยไม่รอให้สตีฟสั่ง ตัดตอนเผื่อเหตุการณ์มันไม่เกิดอย่างที่ควร แซมก็จะทำให้มันรวบรัดไปเลย ไม่ต้องมัวหาหลักฐานเชื่อมไปโรมาเนียอะไรทั้งนั้น

แค่เขาจะไม่รอให้สตีฟและนาตาชากลับมา เขาจะไปโรมาเนียทันที ไปให้ไกลจากที่นี่ เขาทำอะไรเพี้ยนแค่นิดเดียวมันก็ลามไปทั่วแล้ว ในเมื่อการมีอยู่ที่นี่ของเขามันผิด แซมก็จะไม่อยู่ แค่นี้มันก็พังมากพอแล้ว

ได้ปะวะ

“แซม” ทั้งสองเรียกพร้อมกัน

อะไรก็ได้ สักที่หนึ่ง แซมหลุดจากภวังค์ มองตรงไปยังถนน เขาเห็นร้านอาหารแห่งหนึ่งและป้ายมากมายตามหน้าร้าน หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นที่สุดคือธงประเทศสีขาวสลับขีดแดง

“จอร์เจีย”

“และ… โรมาเนีย”

สตีฟขมวดคิ้วขณะจอดรถติดไฟแดง

“หมายความว่าไง ทำไมมีสองที่ล่ะ”

“จุดหมายเครื่องบินอยู่จอร์เจีย แต่พวกนั้นก็ดูสนใจโรมาเนียด้วย ฉันเลยคิดว่ามันน่าจะมีส่วนอะไรด้วยแน่”

หน้าจอไม่มีอะไรทั้งนั้น แซมพูดไปเรื่อย

“ดี อย่างน้อยเราก็ได้เป้าหมายในการหาใหม่”

สตีฟขับรถไปเรื่อย ๆ ตามทาง แซมเหนื่อยเกินกว่าจะดูวิวข้างถนนหรือคิดอะไรอีก เขาแค่อยากพักผ่อน เขารู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้อะไรหลายอย่างที่นี่วุ่นวาย ทั้งที่จะสำเร็จแล้วแท้ ๆ แต่กลิ่นของเขาดันไปกระตุกความสนใจคนร้าย ไหนจะสัญชาตญาณโอเมก้าน่ารำคาญ ทุกอย่างคงราบรื่นกว่านี้ถ้ามันไม่ใช่เพราะเขา

ภาวนาให้แผนการไม่ฉลาดของแซมได้ผลด้วยเถอะ