Work Text:
คนคนหนึ่งอาจบอกรักคนสำคัญของตนได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับคนบางคน การจะเอ่ยเอื้อนถ้อยคำนี้ออกไปก็ต้องอาศัยความพยายามทั้งชีวิตถึงจะพูดออกมาได้สักครั้งหนึ่ง ซึ่งไอ้คนประเภทที่สองก็คือผมเองนี่ล่ะ
น่าสมเพชใช่ไหมล่ะ? แต่ก็ใช่ว่าคนอย่างเซี่ยจื่อหยางคนนี้ไม่เคยบอกรักใครเสียหน่อย ก็แค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้บ่อย ๆ ทุกวันเท่านั้น สำหรับผมแล้ว การบอกรักเป็นความยากอย่างที่ไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับ ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่มาถ่วงอยู่ที่ลิ้นอย่างไรอย่างนั้น
ให้ตายเถอะ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทำไมการพูดความจริงถึงได้ยากลำบากขนาดนี้กันนะ?
คงเพราะอย่างนี้นี่ล่ะ ผมถึงได้ประหลาดใจทุกครั้งที่เฮยเสียจื่อสามารถพูดคำว่ารักออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องรีดเค้นแรงกายแรงใจ ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองใด ๆ ทั้งนั้น ถ้อยคำหวานซึ้งชวนใจเต้นก็หลุดออกมาจากปากของไอ้หมอนั่นอย่างเป็นธรรมชาติ และคำบอกรักของเขาก็เป็นอะไรที่พร่ำเพรื่อเหลือเกิน ไร้ซึ่งช่วงเวลาหรือสถานที่ที่แน่นอน อยากพูดเมื่อไหร่ก็พูด แม้แต่ในช่วงเวลาที่ผิดกาลเทศะที่สุด นายบอดดำก็ยังพูดออกมาได้หน้าตาเฉย
ก็สมกับที่เป็นเขาดีที่พูดออกมาได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน แต่ผมกลับไม่เคยโกรธเขาเลยสักครั้ง แม้ว่าภายนอกจะทำทีเป็นโวยวายกลบเกลื่อนไปก็ตาม
ต่อให้ผิดกาลเทศะแค่ไหนก็ไม่เคยโกรธ เพราะคำว่ารักของเฮยเสียจื่อเป็นอะไรที่พิเศษจนโมโหไม่ลง ในถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจที่ชวนให้ใจพองฟูทุกครั้งที่ได้ยิน นอกจากนั้นมันยังนำพาไปสู่เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างได้อย่างน่ามหัศจรรย์ หากมีแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเล็กน้อย ปลายทางของคำว่ารักก็คือเสียงหัวเราะคิกคักของเราทั้งคู่ หรือถ้าเป็นวันปกติธรรมดา ๆ ก็มักจะจบลงที่เสียงบ่นหรือเสียงโวยวายแก้เขินของตัวผมเอง นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ในบางที มันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน คำว่ารักของเฮยเสียจื่อจบลงที่ความแนบชิดระหว่างผมกับเขา ก่อนที่ความแนบชิดนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่หนทางอื่น จากกอดกลายเป็นจูบ จากที่เป็นแค่จูบก็เริ่มลามปามลุกลามไปไกลกว่าเดิม เลยเถิดกันไปจนเสื้อผ้าหล่นไปกองอยู่ที่พื้น มัวเมาไปกับกามารมณ์จนกระทั่งเสร็จกิจและผล็อยหลับกันไป มาได้สติกันอีกทีก็ตอนที่นอนก่ายกันอยู่บนเตียงนั่นล่ะ
กอดก่ายกันอยู่บนเตียง ร่างกายเปลือยเปล่าเป็นชีเปลือย สภาพการณ์เช่นนี้นับเป็นยามเช้าที่ไม่ต่างไปจากวันอื่น ๆ มากมายนัก สิ่งแรกที่ผมได้เห็นหลังลืมตาตื่นยังคงเป็นนัยน์ตาสีสวยของเฮยเสียจื่อที่จ้องผมไม่กะพริบตา หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนกับทุก ๆ วัน เกิดขึ้นซ้ำเดิมเรื่อย ๆ พอเห็นว่าผมตื่นแล้ว เฮยเสียจื่อมักจะคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ
"ผมรักคุณจริง ๆ นั่นล่ะนะ จื่อหยาง"
เฮยเสียจื่อ หมอนี่น่ะบ้าบอที่สุด แม้กระทั่งคำทักทายคำแรกยามตื่นนอนก็ยังเป็นคำว่ารัก ไม่ใช่ 'อรุณสวัสดิ์' เหมือนชาวบ้านชาวช่องทั่ว ๆ ไป เป็นคำว่ารักคำเดียวกับที่หมอนั่นพูดมาตลอด ไม่ว่าจะได้ยินมันในวันธรรมดาหรือได้ยินมันในวันเกิดของตัวเอง ความรู้สึกก็ไม่ได้ต่างกันออกไปเท่าไหร่นัก
แต่ที่แน่ ๆ วันนี้เป็นวันพิเศษที่มีคนบ้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ตื่นดีก็ได้ ผมถึงได้เผลอไผลขยับปากพูดออกไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าหินก้อนใหญ่ที่ถ่วงลิ้นผมมาตลอดนั้นสูญสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
"ฉัน...ฉันก็รักนาย"
เฮยเสียจื่อเผยยิ้มกว้างหลังจากได้ยินคำบอกรักติดอ่างที่นาน ๆ ทีจะได้ยินสักครั้งหนึ่ง คนส่วนใหญ่พอได้ยินคำพูดติดอ่างของผมก็มักจะรีบเก็บซ่อนความรำคาญใจทันที แต่ไม่ใช่กับเฮยเสียจื่อ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยอึดอัดรำคาญใจกับตัวผมที่เป็นแบบนี้ และในคราวนี้ก็เช่นกัน เจ้าหมอนี่ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม ริมฝีปากประทับจุมพิตที่บริเวณหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา
"ผมรักคุณ"
เขากระซิบบอกรักผมอีกครั้ง แล้วผมก็บอกรักเขาตอบกลับไปอีกรอบ ผมชอบสถานการณ์ระหว่างพวกเราตอนนี้เหลือเกิน ถ้าหากพรวันเกิดกลายเป็นจริงได้โดยไม่ต้องเป่าเค้กวันเกิดเสียก่อน ผมก็อยากจะขอพรเอาตอนนี้มันเสียเลย ขอให้เขายังคงบอกรักผมพร่ำเพรื่อเหมือนที่ผ่านมา แล้วก็ขอให้ผมสามารถบอกรักเขากลับไปได้อย่างง่ายดายไม่ยากเย็น ขอให้เขาได้รับความรักล้นปรี่อย่างที่ผมได้รับจากเขา ขอเพียงแค่เราสองคนได้เติมเต็มความรักให้กันและกันอย่างนี้ไปจนกว่าจะลงไปนอนในโลงหมดลมหายใจ
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็ขอให้ความปรารถนาทั้งหมดนี้ของผมเกิดขึ้นจริงด้วยเถอะ
................